คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 660/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นบริษัทจำกัด การที่โจทก์ใช้อาคารของโจทก์เองเป็นที่ทำการหรือสำนักงานฝ่ายบริหารและติดต่อธุรกิจของโจทก์โดยมิได้ใช้แสวงหาผลประโยชน์ตอบแทนโดยตรงด้วยนั้น เป็นการที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของเข้าอยู่เองตามความหมายของมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินแก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2475 มาตรา 3 เมื่อมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบการอุตสาหกรรม ย่อมได้รับงดเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือน
การที่โจทก์ฟ้องขอคืนเงินภาษีส่วนที่โจทก์จำต้องชำระเกินไป และศาลพิพากษาให้คืนนั้น เท่ากับตัดสินให้ลดค่าภาษีแก่โจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องเสียดอกเบี้ย หากคืนเงินส่วนลดนี้ให้โจทก์ภายในสามเดือนตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 39วรรคสองแต่ถ้าไม่คืนภายในกำหนดดังกล่าวก็ต้องเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่โจทก์นับตั้งแต่วันที่ได้รับเงินไว้ และจำเลยยกปัญหานี้ขึ้นกล่าวชั้นฎีกาได้ เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ในการประกอบการค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมต่าง ๆ เมื่อ พ.ศ. 2515 โจทก์สร้างโรงเรือนของโจทก์เป็นตึก 12 ชั้น โจทก์ใช้อยู่เอง 7 ชั้น โดยมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบการอุตสาหกรรมเมื่อ พ.ศ. 2517 โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี พ.ศ. 2517 ต่อจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 มีใบแจ้งรายการประเมินกำหนดค่ารายปีและค่าภาษีเป็นเงิน 156,909.39 บาท โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 2 ขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ วันที่ 19 กันยายน 2517 โจทก์นำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระให้จำเลยที่ 3 ครั้นวันที่ 14 พฤษภาคม 2518 โจทก์ได้รับใบแจ้งคำชี้ขาดจากจำเลยที่ 2 ยืนตามที่จำเลยที่ 3 ได้ประเมินไว้ ซึ่งไม่ถูกต้องเพราะโรงเรือนและที่ดินในชั้นดังกล่าวโจทก์ใช้อยู่เอง และมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบอุตสาหกรรม จึงได้รับงดเว้นไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งคิดเป็นเงินที่โจทก์จำต้องชำระเกินไป 100,194.49 บาท ขอศาลพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 และยกเลิกใบแจ้งรายการประเมินของจำเลยที่ 3 เฉพาะรายการที่ 1, 8, 10, 11, 12, 13, 15 และ 16 ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินภาษีที่โจทก์ชำระเกินไปพร้อมด้วยดอกเบี้ย 5,600 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น105,794.49 บาท กับดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลไม่มีตัวตนเหมือนบุคคลธรรมดาจึงใช้อาคารอยู่อาศัยเองไม่ได้ ความจริงโจทก์ใช้อาคารรวม 7 ชั้นเป็นที่ทำการสำนักงานเพื่อประโยชน์ในการประกอบธุรกิจการค้าและบริหารงานของโจทก์โดยแบ่งเป็นแผนกและฝ่ายต่าง ๆ มีเจ้าหน้าที่ของโจทก์ปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์กิจการค้าของโจทก์ทั้งสิ้นและอาคารนี้บางชั้นโจทก์ยังใช้เป็นสถานที่จอดรถด้วย โจทก์จึงมีหน้าที่เสียภาษีโรงเรือนตามกฎหมาย

คู่ความต่างไม่สืบพยาน โดยรับข้อเท็จจริงกันว่าโรงเรือนของโจทก์ชั้นที่พิพาทกันคือชั้นใต้ดิน ใช้เป็นที่จอดรถของพนักงานบริษัทโจทก์ ชั้นอื่น ๆ ตามฟ้องนอกจากนี้ใช้เป็นที่ติดต่อธุรกิจการค้าและเป็นที่ทำการบริหารกิจการของโจทก์ทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วยแผนกการต่าง ๆ เช่น ฝ่ายการบัญชี ฝ่ายการเงิน ฝ่ายการบริหาร และฝ่ายกฎหมายเป็นต้น โดยมิได้ใช้เป็นที่เก็บสินค้าหรือประกอบอุตสาหกรรมแต่อย่างใด มียามซึ่งโจทก์จ้างมีเงินเดือนประจำคอยดูแลรักษาความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา ส่วนภายในตึกพิพาทเริ่มตั้งแต่เวลา 16.00 นาฬิกา จนถึงเวลา 8.00 นาฬิกา มีเจ้าหน้าที่ของโจทก์อยู่ประจำคอยดูแลความเรียบร้อย ในวันหยุดราชการเจ้าหน้าที่ดังกล่าวต้องปฏิบัติหน้าที่ตลอดวันตลอดคืน

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกเลิกใบแจ้งรายการประเมินเฉพาะรายการที่ 1, 8, 10, 11, 12, 13, 15, 16 เพิกถอนคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินภาษีจำนวน 100,194.49 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 19 กันยายน 2517 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน แก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช 2475 มาตรา 3 บัญญัติว่า “มาตรา 10 โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ซึ่งเจ้าของอยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษา และซึ่งมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบการอุตสาหกรรม ท่านให้งดเว้นจากบทบัญญัติแห่งภาคนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้นไป” เห็นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการประกอบการค้าน้ำมัน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม การที่โจทก์ใช้อาคารชั้นพิพาทของโจทก์เองเป็นที่ทำการหรือสำนักงานฝ่ายบริหารและติดต่อธุรกิจของโจทก์ตามข้อเท็จจริงที่คู่ความทั้งสองฝ่ายรับกันข้างต้น โดยมิได้ใช้อาคารชั้นนั้น ๆ แสวงหาผลประโยชน์ตอบแทนโดยตรงด้วย ก็เป็นการที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของเข้าอยู่เองตามความหมายของมาตราดังกล่าว เมื่อมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบการอุตสาหกรรม ย่อมได้รับงดเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือน

ส่วนเรื่องดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 39 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้าศาลตัดสินให้ลดค่าภาษี ท่านให้คืนเงินส่วนลดนั้นภายในสามเดือนโดยไม่คิดค่าอย่างใด” นั้น เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องขอคืนภาษีส่วนที่โจทก์จำต้องชำระเกินไปเช่นกรณีที่พิพาทกันนี้ และศาลพิพากษาให้คืน ก็เท่ากับตัดสินให้ลดค่าภาษีแก่โจทก์นั่นเอง จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องเสียดอกเบี้ยหากคืนเงินส่วนลดนี้ให้โจทก์ภายในสามเดือน แต่ถ้าไม่คืนภายในกำหนดก็ต้องเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่โจทก์นับแต่วันที่ 19 กันยายน 2517 ตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดและจำเลยมิได้ฎีกาคัดค้าน และจำเลยยกปัญหานี้ขึ้นกล่าวชั้นฎีกาได้ เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน

พิพากษาแก้เฉพาะดอกเบี้ย ให้จำเลยที่ 1 ชำระภายใต้เงื่อนไขแห่งมาตรา 39 วรรคสอง ดังวินิจฉัยข้างต้น นอกนั้นคงไว้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share