คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4598/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ที่โจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์และให้จำเลยเช่าบางส่วน ต่อมาโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยได้รับการยกให้จากบิดาจำเลยและจำเลยได้เข้าครอบครองมาประมาณ 40 ปีไม่เคยเช่าจากโจทก์ คำให้การดังกล่าวไม่มีประเด็นเรื่องเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381จำเลยจึงไม่อาจอ้างสิทธิตามมาตรา 1375 ได้ แม้ตามทางพิจารณาของโจทก์จะได้ความว่าเมื่อโจทก์ที่ 1 ไปทวงค่าเช่าจำเลยไม่ชำระโจทก์ที่ 1 ไปร้องเรียนต่อปลัดอำเภอ ปลัดอำเภอเรียกจำเลยมาเจรจากับโจทก์ที่ 1 แล้ว จำเลยโต้เถียงว่าไม่ได้เช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ที่ 1 ไม่เคยชำระค่าเช่ามาก่อนศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองได้ เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากประเด็นที่จำเลยต่อสู้ไว้ในคำให้การและไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 162หมู่ 10 ตำบลนาวังหิน อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 23 ไร่3 งาน 30 ตารางวา จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินแปลงดังกล่าวบางส่วนเป็นเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 30 ตารางวา เป็นที่อยู่อาศัยมีกำหนด1 ปี ค่าเช่า 300 บาท จำเลยได้ค้างค่าเช่าเป็นเวลา 4 ปี 6 เดือนเป็นเงินค่าเช่า 1,350 บาท โจทก์ทวงถามค่าเช่า จำเลยเพิกเฉย โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่เช่าและให้ชำระค่าเช่าที่ค้างแล้วแต่จำเลยก็เพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่เช่าห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยชำระค่าเช่าและค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 1,625 บาท และชำระค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องในอัตราปีละ 300 บาท จนกว่าจะออกไปจากที่พิพาท
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยไม่เคยทำสัญญาเช่าที่ดินจากโจทก์ บิดาจำเลยยกที่ดินพิพาทให้จำเลย จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินที่โจทก์อ้างโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 40 ปีเศษแล้ว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทพร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยออกไป ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องต่อไป ให้จำเลยชำระค่าเช่าและค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 1,625 บาท กับค่าเสียหายปีละ 300 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าการที่จำเลยแย่งสิทธิครอบครองที่ดินส่วนพิพาทจากโจทก์ทั้งสองโดยการแสดงเจตนาจะไม่ครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ต่อไปนั้น เป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) ที่โจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์และให้จำเลยเช่าบางส่วน ต่อมาโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โดยได้รับการยกให้จากบิดาจำเลยและจำเลยได้เข้าครอบครองมาประมาณ 40 ปีแล้ว ไม่เคยเช่าจากโจทก์ คำให้การดังกล่าวไม่มีประเด็นเรื่องเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 จำเลยจึงไม่อาจอ้างสิทธิตามมาตรา 1375 ได้แม้ตามทางพิจารณาของโจทก์จะได้ความว่า เมื่อโจทก์ที่ 1 ไปทวงค่าเช่าจำเลยไม่ชำระ โจทก์ที่ 1 ไปร้องเรียนต่อปลัดอำเภอ ปลัดอำเภอเรียกจำเลยมาเจรจากับโจทก์ที่ 1 จำเลยโต้เถียงว่าไม่ได้เช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ที่ 1 ไม่เคยชำระค่าเช่ามาก่อน ศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครอง เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากประเด็นที่จำเลยต่อสู้ไว้ในคำให้การและไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงไม่ชอบ
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share