แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์มีกรณีพิพาทกับ ป. ในที่ดินแปลงพิพาทแล้วตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยโจทก์ยอมโอนที่ดินแปลงพิพาทให้ ป. และป.ยอมให้ที่ดินแปลงพิพาทรับภาระใช้เป็นที่สัญจรของโจทก์ ประชาชนและรถยนต์เข้าออกโรงภาพยนตร์ของโจทก์ศาลพิพากษาตามยอม ต่อมา ป. โอนที่ดินแปลงพิพาทให้จำเลยและจำเลยตั้งแผงขายสินค้าบนที่ดินแปลงพิพาท ทำให้ทางเข้าออกแคบโจทก์และประชาชนไม่ได้รับความสะดวก โจทก์ได้รับความเสียหายดังนี้ แม้โจทก์จะมิได้จดทะเบียนสิทธิในภาระจำยอมดังกล่าวไว้ก็ตาม แต่โจทก์ก็อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิในภาระจำยอมตามคำพิพากษาได้ก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1300 จำเลยซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินแปลงพิพาทจะกระทำการใดให้กระทบกระเทือนต่อสิทธิในภาระจำยอมดังกล่าวหาได้ไม่จึงต้องรื้อถอนแผงขายสินค้าและชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยตั้งแผงขายสินค้าบนที่ดินซึ่งโจทก์มีสิทธิใช้เป็นทางสัญจร ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยรื้อถอนแผงสินค้านั้นไป จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้ปลูกสร้างหรือตั้งแผงขายสินค้าในที่ดินนั้น แม้จะมีการปลูกสร้างหรือตั้งแผงขายสินค้าในที่ดินดังกล่าวก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายคำให้การของจำเลยดังกล่าวจึงขัดกันเองและเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งคดีไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบได้ว่าจำเลยไม่ได้ปลูกสร้างหรือตั้งแผงขายสินค้าในที่ดินนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมกับนางประณตศรีโดยนางประณตศรียอมให้โจทก์กับพวกใช้ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 46674เป็นที่สัญจรของโจทก์ ประชาชนและรถยนต์เข้าออกโรงภาพยนตร์ของโจทก์กับพวก ซึ่งศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ต่อมาจำเลยซื้อที่ดินโฉนดดังกล่าว และตั้งแผงขายสินค้าทำให้ทางแคบลงใช้สัญจรไม่สะดวกขอให้รื้อถอนแผงขายสินค้าออกไป จำเลยให้การว่า ภาระจำยอมดังกล่าวไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน ไม่ผูกพันจำเลยศาลชั้นต้นพิพากษาให้รื้อถอนแผงขายสินค้าและใช้ค่าเสียหาย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ทางที่ใช้เป็นที่สัญจรของประชาชนและรถยนต์ที่จะเข้าออกยังโรงภาพยนตร์ของโจทก์อยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 48674 ซึ่งเดิมเป็นของนางประณตศรี นิยมฤกษ์ กับพวก และนางประณตศรีกับพวกได้เคยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับพวกเป็นจำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 6485/2514 ของศาลแพ่ง ในคดีดังกล่าว โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันไว้ว่า ฝ่ายโจทก์ยอมให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 48674 รับภาระใช้เป็นที่สัญจรของประชาชนและรถยนต์ที่จะเข้าออกในโรงภาพยนตร์ของจำเลยซึ่งหมายถึงโจทก์ในคดีนี้ ต่อมาจำเลยนี้ได้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 48674 จากนางประณตศรีกับพวก ดังนี้ ปัญหาต้องวินิจฉัยมีว่า ข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวมีผลผูกพันจำเลยหรือไม่เห็นว่า เมื่อโจทก์กับพวกและนางประณตศรีกับพวกได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลในคดีก่อน ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวแล้วโจทก์กับพวกจึงอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนตามคำพิพากษาได้ก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300จำเลยซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินจากนางประณตศรีกับพวกจะกระทำการใดให้กระทบกระเทือนต่อสิทธิในภาระจำยอมของโจทก์กับพวกที่ได้มาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวหาได้ไม่ทั้งข้อเท็จจริงยังปรากฏว่าทางเข้าออกยังโรงภาพยนตร์ของโจทก์มีมาตั้งแต่ก่อนจำเลยรับโอนที่ดินมาจากนางประณตศรี นอกจากนี้นางสาวนุชจรี อุ่นมงคลมิตร พนักงานของบริษัทจำเลยซึ่งมาเบิกความเป็นพยานจำเลยเบิกความรับว่าก่อนที่จำเลยจะซื้อที่ดินพิพาทได้เห็นสภาพของถนนพิพาทแล้วมีสภาพอย่างปัจจุบันนี้ ดังนั้นที่จำเลยอ้างว่าขณะซื้อมาจำเลยไม่ทราบว่าที่ดินดังกล่าวมีภาระจำยอมจึงฟังไม่ขึ้น คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยได้ปลูกสร้างแผงลอยในที่ดินโฉนดเลขที่48674 ของจำเลยหรือไม่ ปัญหาข้อนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าเมื่อเดือนกรกฎาคม 2526 จำเลยได้ปลูกสร้างหรือตั้งแผงขายสินค้าในที่ดินโฉนดเลขที่ 48674 ทำให้ทางที่จะเข้าออกโรงภาพยนตร์ซึ่งเดิมมีขนาดกว้าง 8 เมตร เหลือขนาดกว้างไม่เกิน 6 เมตรเป็นเหตุให้โจทก์ ประชาชนและรถยนต์ที่จะเข้าออกที่โรงภาพยนตร์ของโจทก์ไม่ได้รับความสะดวก โดยเฉพาะรถยนต์แล่นสวนกันไม่ได้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และในประเด็นแห่งคดีข้อนี้จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ปลูกสร้างหรือตั้งแผงขายสินค้าในที่ดินโฉนดเลขที่ 48674 อย่างไรก็ดีแม้จะมีการปลูกสร้างหรือตั้งแผงขายสินค้าในที่ดินโฉนดเลขที่ 48674 ก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ต้องได้รับความเสียหาย คำให้การของจำเลยดังกล่าวจึงขัดกันเองและเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง คดีไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบได้ว่าจำเลยไม่ได้ปลูกสร้างหรือตั้งแผงขายสินค้าในที่ดินโฉนดเลขที่ 48674 เมื่อในประเด็นข้อนี้โจทก์มีนายจักรพันธุ์ พรหมบุตร ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เบิกความยืนยันว่า เมื่อเดือนกรกฎาคม 2526 จำเลยได้สร้างแผงลอยตามแนวถนนบนโฉนดเลขที่ 46874 เป็นเหตุให้ถนนซึ่งกว้าง 8 เมตรคงเหลือกว้างเพียง 6 เมตร โจทก์จึงมอบอำนาจให้ทนายโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลย โจทก์ได้ไปพบจำเลย จำเลยขอผัดใช้เวลา 6 เดือน แต่ครบ 6 เดือนแล้วจำเลยก็ไม่ได้รื้อถอน แม้นายทวีปศักดิ์ โพธิเนตร พยานโจทก์อีกปากหนึ่งจะเบิกความว่าใครเป็นผู้ปลูกแผงลอยไม่ทราบ แต่นายทวีปศักดิ์ก็รับรองว่าโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยให้รื้อแผงลอยออก แต่จำเลยไม่รื้อ คำของนายจักรพันธุ์และนายทวีปศักดิ์นี้เมื่อรับฟังประกอบกันแล้วเชื่อได้ว่าจำเลยเป็นผู้ปลูกสร้างแผงลอยลงที่ริมถนนซึ่งเป็นทางเข้าออกโรงภาพยนตร์ของโจทก์จนทำให้ถนนดังกล่าวแคบลงไปถึง 2 เมตรจริง เช่นนี้ จำเลยจึงต้องรับผิดและชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แต่จำนวนค่าเสียหายที่โจทก์ควรจะได้รับนั้นโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นแน่ชัดว่ามีจำนวนมากน้อยเพียงใด โดยนายจักรพันธุ์ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เบิกความเพียงว่า ในการที่จำเลยได้มาสร้างแผงลอยลงบนถนนพิพาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ความเสียหายของโจทก์ที่ได้รับตกเดือนละ 50,000 บาท ซึ่งเป็นค่าเสียหายในส่วนที่คนมาชมภาพยนตร์ลดน้อยลง ส่วนนายทวีปศักดิ์พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า ภายหลังที่มีการสร้างแผงลอยลงบนที่ดินดังกล่าวแล้ว ทำให้รายได้ของโจทก์ตกประมาณเดือนละ50,000-60,000 บาท เหตุที่ทราบเพราะพยานเป็นผู้ทำรายการภาษีส่งสรรพากร แต่ก็หาได้นำหลักฐานใด ๆ มาแสดงให้ศาลเห็นไม่ว่าก่อนที่จำเลยจะสร้างแผงลอยลงบนที่ดินดังกล่าวโจทก์มีรายได้จากโรงภาพยนตร์เดือนละเท่าใด เมื่อสร้างแผงลอยแล้วมีรายได้เดือนละเท่าใด คงเบิกความอย่างลอย ๆ ไม่อาจฟังว่าค่าเสียหายของโจทก์มีจำนวนแท้จริงเท่าใด ศาลจึงต้องกำหนดค่าเสียหายให้เพียงเท่าที่เห็นสมควรเท่านั้น โดยศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 10,000 บาท นั้นนับว่าเหมาะสมกับรูปคดีแล้ว”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น