คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4595/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ตามคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาด ผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องเป็นผู้เข้าประมูลซื้อทรัพย์จึงเป็นผู้มีสิทธิตามระเบียบการประมูลซื้อทรัพย์ โดยไม่ได้กล่าวอ้างเรื่องที่ผู้ร้องมอบอำนาจให้ ท. เข้าเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์แทนผู้ร้องไว้ในคำร้องแต่อย่างใด ผู้ร้องเพิ่งยกเรื่องการมอบอำนาจดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ กรณีจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯ มาตรา 45 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 37,475,506.10 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.75 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 23,248,483.25 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมเท่าที่ศาลไม่สั่งคืนแทนโจทก์ โดยจำเลยทั้งสามจะชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในกำหนด 12 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากจำเลยทั้งสามผิดนัด ยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ต่อมาจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโจทก์จึงขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เป็นเครื่องจักรและอุปกรณ์รวม 47 รายการ ออกขายทอดตลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2550 มีการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เป็นการขายครั้งที่ 10 ผู้ร้องเป็นผู้เข้าร่วมประมูลซื้อทรัพย์ด้วยการเสนอราคาเป็นคนแรกที่ 3,100,000 บาท บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยผู้เข้าสวมสิทธิเนคู่ความแทนโจทก์เสนอราคาเพิ่มขึ้นเป็น 3,200,000 บาท ผู้ร้องเสนอราคาเพิ่มขึ้นจนสุดท้ายเสนอที่ราคา 5,500,000 บาท บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยเสนอราคาเพิ่มขึ้นเป็น 6,000,000 บาท ผู้ร้องจึงหยุดเสนอราคา เจ้าพนักงานบังคับคดีถามหาผู้เสนอราคาแข่งขันเพิ่ม 3 ครั้ง ไม่มีผู้ใดเสนอราคา เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงยุติการขายที่ราคา 6,000,000 บาท และถามหาจำเลย แต่ไม่มีผู้แสดงตน เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งแก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยว่าไม่อนุมัติการขายให้แก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยแม้ว่าจะเป็นผู้เสนอราคาสูงสุด เนื่องจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยเข้าร่วมประมูลโดยไม่สุจริตเพราะเคยเสนอราคาสูงสุด 37,000,000 บาท แล้วไม่ชำระเงิน จึงเป็นผู้ทิ้งทรัพย์ และสั่งให้งดการขายทอดตลาดครั้งนี้ โดยให้ขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งต่อไปวันที่ 19 พฤศจิกายน 2550 ตามบันทึกการซื้อขายทรัพย์เอกสารเอกสารท้ายคำร้องอันดัง 1 และประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีเอกสารท้ายคำร้องอันดับที่ 3 บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยรับทราบและไม่คัดค้าน ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ต่อมาวันที่ 23 พฤศจิกายน 2550 ผู้ร้องได้ทราบผลคำวินิจฉัยจากสำนักงานบังคับคดีจังหวัดสมุทรสาครว่า การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายด้วยเหตุราคาต่ำนั้นเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบแล้ว ตามหนังสือคัดค้านการขายทอดตลาดเอกสารท้ายคำร้องอันดับ 2 การกระทำดังกล่าวของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ฝ่าฝืนระเบียบและไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้ผู้ร้องไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอให้มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้ยกเลิกการขายทอดตลาด และมีคำสั่งให้ผู้ร้องเป็นผู้ได้สิทธิในการซื้อทรัพย์ตามราคาที่ผู้ร้องเสนอเป็นรายต่อไป
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งว่า ผู้ร้องอ้างว่าเป็นผู้เข้าประมูลซื้อทรัพย์ แต่เอกสารอันดับ 1 และอันดับ 2 ท้ายคำร้องกลับระบุชื่อนายเทพพนม เป็นผู้เข้าประมูลซื้อ ส่วนผู้ร้องเป็นเพียงผู้รับฟังเท่านั้น ผู้ร้องย่อมไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสีย ประกอบกับเมื่อการขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งที่ 10 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีคำสั่งให้ยกเลิกไปด้วยเหตุความไม่สุจริตของผู้เข้าประมูลรายหนึ่งคือบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยย่อมมีผลให้การขายทอดตลาดครั้งที่ 10 เสียไปทั้งหมด ไม่มีทางที่ผู้เข้าประมูลซื้อรายใดจะมีสิทธิหยิบยกขึ้นเป็นประโยชน์ได้อีก ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ วินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อแรกว่า ผู้ร้องมีสิทธิร้องคัดค้านการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือไม่ ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์รายนี้ แต่เหตุที่เอกสารท้ายคำร้องอันดับ 1 และอันดับ 2 ระบุว่า นายเทพพนม เป็นผู้เข้าประมูลซื้อทรัพย์ ส่วนผู้ร้องเป็นเพียงพยานผู้เข้ารับฟังนั้น เป็นเพราะในวันขายทอดตลาดทรัพย์ผู้ร้องได้มอบอำนาจให้นายเทพพนมเป็นผู้เข้าร่วมการประมูล ผู้ร้องเข้าใจว่าศาลจะเรียกไต่สวนก่อนที่จะวินิจฉัยสั่งคำร้องและเรียกใบมอบอำนาจตัวจริง จึงไม่ได้ถ่ายสำเนาไว้ พร้อมกับแนบสำเนาหนังสือมอบอำนาจมาท้ายอุทธรณ์ เห็นว่า ตามคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดคดีนี้ ผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องเป็นผู้เข้าประมูลซื้อทรัพย์จึงเป็นผู้มีสิทธิตามระเบียบการประมูลซื้อทรัพย์ โดยไม่ได้กล่าวอ้างเรื่องที่ผู้ร้องมอบอำนาจให้นายเทพพนมเข้าเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์แทนผู้ร้องไว้ในคำร้องแต่อย่างใด ผู้ร้องเพิ่งยกเรื่องการมอบอำนาจดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ กรณีจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง”
พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share