แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” ของโจทก์แม้จะเป็นคำที่ไม่มีความหมายในพจนานุกรม แต่ก็เห็นได้ว่าเป็นการนำคำว่า “LASER” และ “JET” ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายเป็นที่รู้จักกันทั่วไปมาผสมกัน โดยสามารถเห็นรากศัพท์เดิมจากรูปลักษณะของคำ ทั้งเมื่อออกเสียงเรียกขานคำดังกล่าวก็จะทราบคำศัพท์ดังกล่าวอย่างชัดเจนทันที คำว่า “LASERJET” จึงไม่ใช่คำประดิษฐ์ และเมื่อจะพิจารณาต่อไปว่าคำดังกล่าวมีลักษณะบ่งเฉพาะหรือไม่ กล่าวคือ เป็นคำที่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรงหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาประกอบกับสินค้าที่โจทก์ขอจดทะเบียนซึ่งจะเห็นได้จากพยานหลักฐานของโจทก์อย่างชัดเจนว่า โจทก์มุ่งเน้นที่จะใช้เครื่องหมายการค้านี้กับเครื่องพิมพ์เป็นหลัก สินค้าเครื่องพิมพ์นี้ จากพยานหลักฐานของโจทก์ คือ เอกสารแนะนำสินค้า ระบุถึงการทำงานของเครื่องพิมพ์สีเลเซอร์เจ็ททำนองว่าเป็นการใช้แสงเลเซอร์ในการทำงาน ดังนั้น คำว่า “LASERJET” นับเป็นคำที่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าของโจทก์โดยตรง
เมื่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้มีคำวินิจฉัยในประเด็นเรื่องลักษณะบ่งเฉพาะโดยการใช้ไว้แล้ว โจทก์ย่อมอุทธรณ์คำวินิจฉัยดังกล่าวต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้ ซึ่งการนำพยานหลักฐานมาสืบแสดงต่อศาล เป็นไปตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯ มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 85 เรื่องการรับฟังพยานหลักฐานและการยื่นพยานหลักฐานเมื่อโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานตามกฎหมายแล้ว ถือว่าเป็นพยานหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมาย และศาลสามารถหยิบยกขึ้นพิจารณาพิพากษาได้ เพราะไม่มีบทกฎหมายใดห้ามรับฟังพยานหลักฐานที่นำสืบในชั้นศาลโดยไม่ผ่านขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า แม้การพิจารณาของศาลในเรื่องนี้จะมีลักษณะเป็นการทบทวนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าว่าถูกต้องหรือไม่ก็ตามแต่ประเด็นสำคัญที่ศาลต้องพิจารณาก็คือ เครื่องหมายการค้าคำว่า “LASERJET” ของโจทก์ควรได้รับการจดทะเบียนหรือไม่นั้นเอง ซึ่งปัญหานี้รับฟังได้จากพยานหลักฐานของโจทก์ว่าสินค้าของโจทก์ภายใต้เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” มีการจำหน่ายเผยแพร่และโฆษณาในประเทศไทยเป็นเวลาต่อเนื่องกันไม่น้อยว่า 10 ปี นับเป็นเวลานานพอสมควร จนทำให้สาธารณชนในสาขาที่เกี่ยวข้องรู้จักและเข้าใจว่าสินค้าของโจทก์แตกต่างจากสินค้าของบุคคลอื่นตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าฯ มาตรา 7 วรรคสาม และประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องหลักเกณฑ์การพิสูจน์ลักษณะบ่งเฉพาะตามมาตรา 7 วรรคสาม แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าฯ จำเลยจึงต้องดำเนินการเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” ของโจทก์ต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” เพื่อใช้กับสินค้าจำพวก 9 รายการสินค้า (1) เครื่องพิมพ์ใช้กับคอมพิวเตอร์ (2) เครื่องโทรสาร (3) เครื่องกราดตรวจหรือสแกนเนอร์ (4) เครื่องถ่ายเอกสาร (5) เครื่องปฏิบัติงานแบบผสมผสานซึ่งประกอบด้วยเครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องโทรสารและเครื่องกราดตรวจหรือสแกนเนอร์อยู่ในเครื่องเดียวกัน และ (6) อะไหล่และชิ้นส่วนย่อยของเครื่องอุปกรณ์ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งสินค้าดังกล่าวมีจำหน่ายในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2544 โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าว แต่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้ามีคำสั่งปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนให้โดยวินิจฉัยว่า เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” ของโจทก์ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะเพราะเล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรงโจทก์อุทธรณ์ คณะกรรมการเครื่องหมายการค้ามีคำวินิจฉัยไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” ของโจทก์ ซึ่งโจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยเนื่องจากโจทก์คิดค้นและใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์มาโดยสุจริต คำว่า “LASERJET” ไม่มีความหมายและคำแปลตามพจนานุกรม ถือเป็นคำประดิษฐ์และมีลักษณะบ่งเฉพาะ นอกจากนี้โจทก์ได้ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวมาเป็นเวลายาวนานกว่า 18 ปี จนสินค้าของโจทก์ภายใต้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวเป็นที่รู้จักใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วไป ทั้งยังได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศต่างๆ ทั่วโลก สำหรับประเทศไทยมีการจำหน่ายเผยแพร่หรือโฆษณาจนสาธารณชนรู้จักและเข้าใจว่าสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” เป็นสินค้าของโจทก์ จนเกิดความหมายที่สอง (Secondary meaning) อันพึงรับจดทะเบียนได้ตามกฎหมาย คำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้พิพากษาว่า เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” ของโจทก์ ตามคำขอเลขที่ 464132 เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะบ่งเฉพาะอันพึงรับจดทะเบียนได้ให้เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า กับให้จำเลยดำเนินการรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” ของโจทก์ ตามคำขอเลขที่ 464132 ต่อไป
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ คำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้กระทำไปโดยสุจริตและถูกต้องตามกฎหมาย จึงเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 18 แล้ว เครื่องหมายการค้าของโจทก์มาจากคำว่า “LASER” และ “JET” ผสมกันซึ่งหมายถึง “เครื่องระบบเจ็ทที่ใช้ระบบแสงเลเซอร์หรือคลื่นแสงขยายกำลัง แต่ถูกส่งออกเป็นลำแสงที่แคบ” เมื่อนำไปใช้กับสินค้าที่โจทก์ขอจดทะเบียนนับเป็นคำที่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง โจทก์ไม่เคยยื่นหลักฐานแสดงปริมาณการจำหน่ายสินค้า การโฆษณาสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” จนเป็นที่แพร่หลายต่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าพร้อมคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าว ส่วนหลักฐานการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศต่าง ๆ ยังไม่อาจรับฟังได้ว่าเครื่องหมายการค้าของโจทก์ได้จำหน่าย เผยแพร่ หรือโฆษณาสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นจนแพร่หลายแล้วในประเทศไทย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “…คดีมีข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นตามที่คู่ความไม่โต้แย้งกันว่า โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า อักษรโรมันคำว่า “LASERJET” เพื่อใช้กับสินค้าจำพวก 9 รายการสินค้า (1) เครื่องพิมพ์ใช้กับคอมพิวเตอร์ (2) เครื่องโทรสาร (3) เครื่องกราดตรวจหรือสแกนเนอร์ (4) เครื่องถ่ายเอกสาร (5) เครื่องปฏิบัติงานแบบผสมผสานซึ่งประกอบด้วยเครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องโทรสาร และเครื่องกราดตรวจหรือสแกนเนอร์อยู่ในเครื่องเดียวกัน และ (6) อะไหล่และชิ้นส่วนย่อยของเครื่องอุปกรณ์ดังกล่าวข้างต้น แต่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้ามีคำสั่งปฏิเสธไม่รับจดทะเบียนให้ โจทก์อุทธรณ์ คณะกรรมการเครื่องหมายการค้ามีคำวินิจฉัยยืนตามคำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกมีว่า เครื่องหมายการค้าของโจทก์มีลักษณะบ่งเฉพาะโดยตัวเองหรือไม่ โดยโจทก์มีนายธเนศและนางสาวสรียามาเบิกความในทำนองว่า เครื่องหมายการค้าของโจทก์มีลักษณะบ่งเฉพาะโดยตัวเอง ในขณะที่จำเลยมีนายพิทักษ์และนางสาวทัศไนย์ มาเบิกความว่า เครื่องหมายการค้าของโจทก์ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะโดยตัวเอง เห็นว่า เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” ของโจทก์แม้จะเป็นคำที่ไม่มีความหมายในพจนานุกรม แต่ก็เห็นได้ว่าเป็นการนำคำว่า “LASER” และ “JET” ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายเป็นที่รู้จักกันทั่วไปมาผสมกันโดยสามารถเห็นรากศัพท์เดิมจากรูปลักษณะของคำ ทั้งเมื่อออกเสียงเรียกขานคำดังกล่าวก็จะทราบถึงศัพท์ดังกล่าวอย่างชัดเจนทันที คำว่า “LASERJET” จึงไม่ใช่คำประดิษฐ์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างแต่อย่างใด สำหรับคำว่า “LASER” นั้นเป็นคำย่อของคำว่า “Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation” จึงอาจมีหมายความได้ว่า “คลื่นแสงที่ขยายกำลังแต่ถูกส่งออกมาเป็นลำแสงที่แคบ” ส่วนคำว่า “JET” นั้นมีความหมายถึง “พุ่งหรือพ่นออกมาเป็นลำ” หากนำมารวมผสมเป็นกลุ่มคำแล้ว อ่านแปลว่า “แสงที่พุ่งหรือพ่นออกมาเป็นลำในลักษณะของแสงเลเซอร์” ตามที่จำเลยกล่าวอ้าง เมื่อจะพิจารณาต่อไปว่า คำดังกล่าวมีลักษณะบ่งเฉพาะหรือไม่กล่าวคือ เป็นคำที่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าโดยตรงหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาประกอบกับสินค้าที่โจทก์ขอจดทะเบียน ซึ่งจะเห็นได้จากพยานหลักฐานของโจทก์อย่างชัดเจนว่า โจทก์มุ่งเน้นที่จะใช้เครื่องหมายการค้านี้กับเครื่องพิมพ์เป็นหลัก สินค้าเครื่องพิมพ์นี้ จากพยานหลักฐานของโจทก์เอง คือ เอกสารแนะนำสินค้าได้ระบุถึงการทำงานของเครื่องพิมพ์สีเลเซอร์เจ็ททำนองว่าเป็นการใช้แสงเลเซอร์ในการทำงาน ลักษณะการทำงานของสินค้าเครื่องพิมพ์ของโจทก์จึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้แสงในการปฏิบัติงานโดยตรง สำหรับสินค้าอื่น ๆ ของโจทก์ก็จะมีหลักการทำงานคล้ายกัน ลักษณะการทำงานของสินค้าเหล่านี้ของโจทก์จึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้แสงในการปฏิบัติงานโดยตรงเช่นกัน คำว่า “LASERJET” นับเป็นคำที่เล็งถึงลักษณะหรือคุณสมบัติของสินค้าของโจทก์โดยตรง ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการต่อมามีว่า เครื่องหมายการค้าของโจทก์มีลักษณะบ่งเฉพาะโดยการใช้หรือไม่ ซึ่งปัญหานี้มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยเสียก่อนในเบื้องต้นว่า โจทก์สามารถนำพยานหลักฐานอื่นมาสืบแสดงต่อศาลนอกเหนือจากที่นำเสนอต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าหรือไม่ เห็นว่า เมื่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้มีคำวินิจฉัยในประเด็นเรื่องลักษณะบ่งเฉพาะโดยการใช้นี้ไว้แล้วโจทก์ย่อมอุทธรณ์คำวินิจฉัยดังกล่าวต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้ ซึ่งการนำพยานหลักฐานมาสืบแสดงต่อศาล จะเป็นไปตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 85 เรื่องการรับฟังพยานหลักฐานและการยื่นพยานหลักฐาน เมื่อโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานตามกฎหมายแล้ว ถือว่าเป็นพยานหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมาย และศาลสามารถหยิบยกขึ้นพิจารณษพิพากษาได้ เพราะไม่มีบทกฎหมายใดห้ามรับฟังพยานหลักฐานที่นำสืบในชั้นศาลโดยไม่ผ่านขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า อนึ่ง การพิจารณาของศาลในเรื่องนี้แม้จะมีลักษณะเป็นการทบทวนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าว่าถูกต้องหรือไม่ตามที่จำเลยแก้อุทธรณ์ แต่ประเด็นสำคัญที่ศาลต้องพิจารณาก็คือ เครื่องหมายการค้าคำว่า “LASERJET” ของโจทก์ควรได้รับการจดทะเบียนหรือไม่นั้นเอง ดังนั้น การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่รับพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์ จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ โจทก์มีนายธเนศ นางสาวสรียา นางสาวประอร นางสาวพจนารถและนายพงศธวัช มาเบิกความประกอบเอกสารต่างๆ ยืนยันว่า เครื่องหมายการค้าดังกล่าวของโจทก์มีลักษณะบ่งเฉพาะโดยการใช้แล้ว ส่วนจำเลยมีนายพิทักษ์ และนางสาวทัศไนย์ มาเบิกความว่าเครื่องหมายการค้าดังกล่าวของโจทก์ไม่มีลักษณะบ่งเฉพาะโดยการใช้ เห็นว่า นายธเนศเบิกความประกอบเอกสารถึงประวัติความเป็นมาของโจทก์ โดยก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2490 มีการจำหน่ายสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” มาตั้งแต่ปี 2527 มีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวในประเทศต่าง ๆ กับการประชาสัมพันธ์โฆษณาแนะนำสินค้ามาโดยตลอด เครื่องหมายการค้าของโจทก์จึงเป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วไป รวมถึงหน่ายงานต่างๆ ในประเทศไทยก็รู้จักและใช้สินค้าของโจทก์ ส่วนที่เป็นพจนานุกรมเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นเมื่อปี 2536, 2538 และ 2543 ตามลำดับ ก็แสดงให้เห็นว่า สินค้าของโจทก์ภายใต้เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” เป็นที่รู้จักนิยมแพร่หลายทั่วไป นางสาวประอร เบิกความว่า พยานรู้จักและใช้สินค้าของโจทก์มาตั้งแต่ปี 2534 โดยใช้เครื่องพิมพ์รุ่น “LASERJET 3P” การใช้สินค้าของโจทก์ในปัจจุบันไม่มีบริษัทอื่นนอกจากบริษัทโจทก์ที่ใช้เครื่องพิมพ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” นางสาวพจนารถเบิกความว่า โจทก์มีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทยสำหรับเครื่องพิมพ์มากว่าร้อยละ 50 ในแต่ละปีงบประมาณในการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าที่เกี่ยวข้องกับเครื่องพิมพ์ของโจทก์คิดเป็นเงินประมาณ 30,000,000 บาท โดยโฆษณาตามสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ (Brochure) นิตยสาร หนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายการประชาสัมพันธ์สินค้าตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศและการตกแต่งหน้าร้านกับมีเว็บไซต์ของโจทก์ซึ่งผู้ใช้ทั่วทุกมุมโลกสามารถเข้าชมผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ภายใต้เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” ของโจทก์ และนายพงศธวัช เบิกความว่า พยานทำงานอยู่ที่บริษัทฮิวเลตต์ – แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของโจทก์ พยานมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับสินค้าเครื่องพิมพ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า”LASERJET” โดยตรง มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์และจำหน่ายสินค้าเครื่องพิมพ์ดังกล่าวของโจทก์ในประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า 15 ปี โจทก์มีผู้ค้าส่งสินค้าเครื่องพิมพ์ของโจทก์เป็นผู้ค้าส่งรายใหญ่จำนวน 4 ราย ซึ่งผู้ค้าส่งดังกล่าวได้จำหน่ายสินค้าของโจทก์ให้แก่ผู้ค้ารายย่อยซึ่งมีจำนวนนับพันรายทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีผู้จำหน่ายสินค้าซึ่งสั่งซื้อสินค้าจากผู้ค้ารายย่อยไปจำหน่ายอีกต่อหนึ่งเพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคสินค้าเครื่องพิมพ์ดังกล่าวของโจทก์จึงมีการใช้งานอยู่ทั่วไปในประเทศไทย รายได้จากการจำหน่ายสินค้าเครื่องพิมพ์ดังกล่าวของโจทก์ในประเทศไทยในปี 2543 เป็นจำนวนเงิน 830 ล้านบาท ในปี 2544 เป็นจำนวนเงิน 810 ล้านบาท ในปี 2545 เป็นจำนวนเงิน 970 ล้านบาท และในปี 2546 เป็นจำนวนเงิน 1,000 ล้านบาท คิดเป็นเครื่องพิมพ์จำนวนประมาณ 35,000 เครื่อง 36,000 เครื่อง 53,000 เครื่องและ 63,000 เครื่อง ตามลำดับ หากพิจารณาเฉพาะเครื่องพิมพ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” จะพบว่า ยอดจำหน่ายทั้งในส่วนของตัวสินค้าและรายได้จากสินค้ามีจำนวนที่สูงมาก ส่วนแบ่งทางการตลาดของสินค้าของโจทก์มีมากกว่าร้อยละ 50 ในท้องตลาดไม่มีผู้ผลิตอุปกรณ์การพิมพ์ชั้นนำรายใดที่ใช้เครื่องหมายการค้า “LASERJET” เช่นเดียวกับโจทก์ พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ในขณะที่พยานหลักฐานของจำเลยเท่าที่นำสืบมานั้นไม่ได้นำสืบโต้แย้งถึงข้อที่โจทก์นำสืบเกี่ยวกับการใช้เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” กับสินค้าของโจทก์ดังกล่าว พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักดียิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลย และรับฟังว่า สินค้าของโจทก์ภายใต้เครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” มีการจำหน่าย เผยแพร่ และโฆษณาในประเทศไทยเป็นเวลาต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 10 ปี นับเป็นเวลานานพอสมควร จนทำให้สาธารณชนในสาขาที่เกี่ยวข้องรู้จักและเข้าใจว่า สินค้าของโจทก์แตกต่างจากสินค้าของบุคคลอื่นตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 7 วรรคสาม และประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง หลักเกณฑ์การพิสูจน์ลักษณะบ่งเฉพาะตามมาตรา 7 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง”
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่ พณ 0704/17233 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ 31/2546 กับให้จำเลยดำเนินการเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอักษรโรมันคำว่า “LASERJET” ของโจทก์ ตามคำขอเลขที่ 464132 ต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ