คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 459/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นบุตรผู้ตาย จำเลยเป็นภรรยาผู้ตาย โจทก์,จำเลยแถลงรับกันว่าทรัพย์หมาย ก. 1 เดิมเป็นของผู้ตายมาแต่ก่อนที่ได้ทำการสมรสกับจำเลย เมื่อผู้ตายกับจำเลยสมรสกันแล้ว ผู้ตายได้โอนทรัพย์แปลงนั้นให้แก่บิดาจำเลย ต่อมาบิดาจำเลยจึงได้โอนให้จำเลยในระหว่างสมรสนั้น ฟ้องโจทก์ก็กล่าวความท้าวถึงข้อเท็จจริงเช่นว่านี้ แล้วอ้างว่าทรัพย์หมาย ก. 1 จึงกลับคืนเป็นสินเดิมอีกวาระหนึ่ง หรือมิฉะนั้นก็เป็นทรัพย์ที่ทดแทนสินเดิมที่ขาดไป ฉะนั้นที่โจทก์แถลงรับในรายงานพิจารณาว่าเป็นสินสมรส จึงมิได้หมายความว่าสินสมรสนั้นจะไม่ต้องเอามาใช้สินเดิมที่ขาดไปของผู้ตาย.
จำเลยได้แถลงต่อศาลว่าจะขอสืบว่าที่ดินตามหมาย ก.1 เป็นสินสอด โดยผู้ตายสัญญาว่าจะโอนให้บิดาจำเลยก่อนแต่งงาน แล้วต่อมาจึงได้โอนให้ไป ซึ่งข้อเท็จจริงที่จำเลยจะขอสืบนี้ ถ้าเป็นความจริง อาจถือได้ว่า ผู้ตายจำหน่ายสินเดิมของตนเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว โดยไม่ได้ยินยอมด้วย กรณีอาจต้องตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา 1514 ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพะยานจึงไม่ชอบ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนายมั่ง จำเลยเป็นภรรยานายมั่ง นายมั่งตายลงมีสินเดิมและสินสมรส จึงขอแบ่งมฤดกจากจำเลย สำหรับทรัพย์มฤดกอื่นโจทก์,จำเลยตกลงกันในข้อเท็จจริง คงติดใจโต้เถียงฉะเพาะทรัพย์ตามบัญชีหมาย ก.๑ ซึ่งจำเลยให้การว่า ทรัพย์ตามบัญชีหมาย ก.๑ นั้น นายมั่งโอนให้บิดาจำเลยเป็นค่าสินสอด แล้วบิดาจำเลยโอนให้จำเลยเป็นสินส่วนตัว วันชี้สองสถานโจทก์แถลงว่าที่ดินตามบัญชีหมาย ก. เป็นสินสมรสโดยบิดาของจำเลยยกให้แก่จำเลยภายหลังอยู่กินเป็นสามีภรรยากันแล้ว จำเลยแถลงว่าที่ดินหมาย ก. เป็นทรัพย์สินของนายมั่งมีอยู่ก่อนแต่งงานกับจำเลย แล้วนายมั่งยกใฟ้แก่บิดาจำเลย เมื่อจำเลยเป็นภริยานายมั่งแล้ว ต่อมาบิดาจำเลยได้ยกให้แก่จำเลยภายหลัง สืบพะยานจำเลยได้ ๑ ปาก จำเลยจะขอสืบว่าที่ดินหมาย ก.๑ เป็นสินสอด แล้วบิดาโอนกลับเป็นชื่อของจำเลย
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพะยาน แล้วพิพากษาให้แบ่งมฤดกนายมั่งระหว่างโจทก์จำเลยกับบุตรนายมั่งและชี้ขาดว่าที่ดินหมาย ก. ๑ เป็นสินเดิมของนายมั่ง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่ดินหมาย ก.๑ เป็นสินสมรส พิพากษาแก้ ให้แบ่งทรัพย์หมาย ก.๑ อย่างสินสมรส นอกนั้นยืนตาม
โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งทรัพย์หมาย ก.๑ อย่างสินสมรสโดยไม่ให้กลับไปทดแทนสินเดิมของนายมั่งที่ขาดหายเสีย ไม่ชอบ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเรื่องทรัพย์หมาย ก.๑ โจทก์,จำเลยรับกันว่า เดิมเป็นของนายมั่งมาแต่ก่อนที่ได้ทำการสมรสกับจำเลย เมื่อนายมั่งกับจำเลยเป็นสามีภริยากันแล้ว นายมั่งได้โอนทรัพย์แปลงนี้ให้แก่บิดาจำเลย ต่อมาบิดาจำเลยจึงโอนให้แก่จำเลยในระหว่างสมรสนั้น ฟ้องของโจทก์ก็ท้าวถึงข้อเท็จจริงเช่นว่านี้ แล้วอ้างว่าทรัพย์หมาย ก.๑ จึงกลับคืนเป็นสินเดิมอีกวาระหนึ่ง หรือมิฉะนั้นก็เป็นทรัพย์ที่ทดแทนสินเดิมที่ขาดไป ฉะนั้นที่โจทก์แถลงรับในรายงานพิจารณาว่า เป็นสินสมรส เพราะบิดาจำเลยให้จำเลยภายหลังการแต่งงานเป็นสามีภริยากันแล้วนั้น จึงมิได้หมายความว่า สินสมรสนั้นไม่ต้องใช้สินเดิมที่ขาดไปของนายมั่ง แต่ปัญหาข้อที่ว่าจะต้องเอาทรัพย์หมาย ก.๑ ใช้สินเดิมของนายมั่งที่ขาดไปหรือไม่นี้ จำเลยได้แถลงต่อศาลว่าจะขอสืบว่าที่ดินตามบัญชีหมาย ก.๑ เป็นสินสอด ซึ่งข้อเท็จจริงที่จำเลยขอสืบนี้ ถ้าเป็นความจริงอาจถือได้ว่า นายมั่งจำหน่ายสินเดิมของตนเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว โดยจำเลยไม่ได้ยินยอมด้วย กรณีอาจต้องตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๑๕๑๔ ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพะยานเสียไม่ชอบ
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่าง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาตามประเด็นที่จำเลยขอสืบแล้วพิพากษาใหม่.

Share