แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ขับรถเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นนั้น แม้จะหยุดกระทำการช่วยเหลือตามสมควรแล้ว และมิได้จงใจหลบหนี แต่ละเลยไม่ไปแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที ผู้ขับรถนั้นย่อมมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 30 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้รับอนุญาตให้ขับรถยนต์ขนส่งประจำทางสาธารณะและประเภทส่วนบุคคล จำเลยขับรถยนต์ประจำทางด้วยความประมาทโดยชะลอรถเพื่อรับคนโดยสารตรงบริเวณที่ไม่มีป้ายจอดรถยนต์ประจำทางนายเว่งชุน แซ่ตั้ง ขึ้นไปบนรถคันนั้นยังไม่ทันเรียบร้อยจำเลยเร่งขับรถออกไปโดยเร็ว เป็นเหตุให้นายเว่งชุน แซ่ตั้ง ตกลงจากรถได้รับบาดเจ็บสาหัส และถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาเมื่อนายเว่งชุน แซ่ตั้ง ตกลงจากรถ จำเลยได้หลบหนีไปมิได้ช่วยเหลือนายเว่งชุน แซ่ตั้ง ตามสมควร และมิได้แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงนั้นทันทีขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๑ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๒๙, ๓๐, ๖๘ พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๘ มาตรา ๗, ๑๓, ๑๕ และถอนใบอนุญาตขับรถของจำเลย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้ชะลอความเร็วของรถลงเพื่อรับคนโดยสาร แต่เพื่อหักหลบรถเก๋งที่จอดอยู่ริมถนนด้านซ้ายมือไปทางขวามือ จำเลยไม่ทราบว่านายเว่งชุน แซ่ตั้ง ก้าวขึ้นรถในขณะที่จำเลยชะลอความเร็วของรถอยู่นั้นเพราะบริเวณที่เกิดเหตุไม่มีป้ายจอดรถยนต์ประจำทางนายเว่งชุน แซ่ตั้ง ตกลงจากรถที่จำเลยขับเมื่อจำเลยหักพวงมาลัยรถไปทางขวามือเพื่อแซงรถเก๋งที่จอดอยู่ขึ้นไปเพราะความประมาทของนายเว่งชุน แซ่ตั้ง เอง เมื่อเกิดเหตุแล้วจำเลยได้หยุดรถช่วยเหลือนายเว่งชุน แซ่ตั้ง หลังจากนั้นจำเลยไปแจ้งให้บริษัทเจ้าของรถทราบ ในวันรุ่งขึ้นจากวันเกิดเหตุจำเลยมีความจำเป็นต้องเดินทางไปจังหวัดพังงา และเมื่อกลับมาจากจังหวัดพังงา จำเลยก็เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนในวันที่จำเลยกลับมาถึงกรุงเทพฯ นั้นเอง จำเลยมิได้จงใจหลบหนีจำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้องโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า เมื่อนายเว่งชุน แซ่ตั้ง ตกลงจากรถยนต์ประจำทางที่จำเลยขับแล้ว จำเลยมิได้แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงนั้นทันที แม้จำเลยมิได้จงใจหลบหนี จำเลยก็มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๓๐, ๖๘ พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๘ มาตรา ๗, ๑๓, ๑๕
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗มาตรา ๓๐ วรรคแรก บัญญัติว่า “ผู้ใดขับรถเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น จะเป็นความผิดของผู้ขับหรือไม่ก็ตามผู้ขับจะต้องหยุดกระทำการช่วยเหลือตามสมควร และแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในที่ใกล้เคียงนั้นทันที” การที่บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวบัญญัติให้ผู้ขับรถต้องไปแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงนั้นทันทีเป็นคนละเรื่องกับการที่คนขับรถนั้นหลบหนีหรือไม่ เพราะแม้แต่เหตุที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ความผิดของคนขับรถก็ยังบัญญัติให้ต้องไปแจ้ง เมื่อจำเลยไม่จงใจหลบหนี แต่ละเลยไม่ไปแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงนั้นทันที จำเลยจึงมีความผิดฐานนี้ แต่ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๘ มาตรา ๗ และมาตรา ๑๓
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๓๐, ๖๘ พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๘ มาตรา ๑๕ ให้ปรับจำเลย ๕๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์