คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4586/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ในขณะที่โจทก์นำสืบอ้างสำเนากรมธรรม์ประกันภัยและสำเนาหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงของบริษัท พ. เป็นพยาน จำเลยที่ 1 มิได้ดำเนินการโต้แย้งหรือคัดค้านการนำสืบสำเนาเอกสารว่าไม่มีต้นฉบับ หรือต้นฉบับนั้นปลอมทั้งฉบับหรือแต่บางส่วนหรือสำเนานั้นไม่ถูกต้องตรงกับต้นฉบับ ศาลไม่ควรรับฟังเป็นพยานหลักฐานตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯ มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 125 จำเลยที่ 1 เพียงแต่ถามค้าน ป. พยานโจทก์เกี่ยวกับสำเนากรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวว่า ข้อความเกี่ยวกับรถยนต์คันดังกล่าวปรากฏตามเอกสารดังกล่าว ซึ่งเป็นเพียงสำเนาไม่ใช่ต้นฉบับเท่านั้น ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าสำเนาเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวนั้น ถูกต้องตรงกับต้นฉบับแล้ว ศาลจึงรับฟังเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นพยานได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93 (1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 113,242.71 บาท พร้องดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 107,850.20 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาคดีนี้อย่างคดีมโนสาเร่
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ความเสียหายเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 2 เพียงผู้เดียว โดยจำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิพากษา
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 107,850.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2546 ไปจนกว่าจำชะระเสร็จแก่โจทก์ แต่เฉพาะดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (วันที่ 25 มิถุนายน 2547) ต้องไม่เกินจำนวนเงิน 5,392.51 บาท กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขนส่งสินค้าตามฟ้องซึ่งต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า …จำเลยที่ 1 ไม่เพียงมีหน้าที่ขายคูปองแก่บุคคลทั่วไปที่จะนำยานพาหนะเข้าไปรับส่งสินค้าในเขตท่าเรือกรุงเทพแทนการท่าเรือแห่งประเทศไทยเท่านั้น แต่จำเลยที่ 1 ยังเข้าไปร่วมมีส่วนได้เสียในการขนส่งสินค้าแก่ผู้ที่มาซื้อคูปองไปจากจำเลยที่ 1 ด้วย เพราะมิฉะนั้นจำเลยที่ 1 ไม่จำเป็นต้องนำรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ไปทำประกันภัยไว้โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้เอาประกันภัย ซึ่งทำให้จำเลยที่ 1 ต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวในฐานะผู้เอาประกันภัย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 นำรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุเข้าร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการประกอบกิจการรับขนส่งสินค้าในเขตท่าเรือกรุงเทพ แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า ในการทำสัญญาว่าจ้างขนส่งสินค้านั้นจำเลยที่ 2 จะตกลงกับผู้ว่าจ้างโดยตรง โดยจำเลยที่ 1 ไม่รู้เห็นด้วย หรือความสูญหายของสินค้าตามฟ้องอยู่นอกเหนือความรับผิดของผู้รับประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยก็ไม่มีผลทำให้นิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยทั้งสองเปลี่ยนแปลงไป ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขนส่งสินค้าตามฟ้องซึ่งต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2
ที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า กรมธรรม์ประกันภัยและหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงของบริษัทพาณิชย์การประกันภัย จำกัด ไม่ใช่ต้นฉบับเอกสาร เป็นเพียงสำเนาเอกสารซึ่งไม่มีการรับรองความถูกต้อง การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับฟังสำเนาเอกสารจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า แม้จะเป็นเพียงสำเนากรมธรรม์ประกันภัยและสำเนาหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงของบริษัทพาณิชย์การประกันภัย จำกัด โดยไม่มีการรับรองความถูกต้องของสำเนาเอกสารดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเอกสารทั้งสองฉบับถูกส่งมาจากบริษัทพาณิชย์การประกันภัย จำกัด ทางโทรสาร และโจทก์มีนายปราโมทย์ ผู้จัดการส่วนสินไหมของโจทก์มาเบิกความรับรองเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว และในขณะที่โจทก์นำสืบอ้างสำเนาเอกสารเป็นพยาน จำเลยที่ 1 มิได้ดำเนินการโต้แย้ง หรือคัดค้านการนำสืบสำเนาเอกสารว่าไม่มีต้นฉบับหรือต้นฉบับนั้นปลอมทั้งสองฉบับหรือแต่บางส่วนหรือสำเนานั้นไม่ถูกต้องกับต้นฉบับ ศาลไม่ควรรับเป็นพยานหลักฐาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 จำเลยที่ 1 เพียงแต่ถามค้านนายปราโมทย์พยานโจทก์เกี่ยวกับข้อความเกี่ยวกับรถยนต์คันดังกล่าวซึ่งเป็นเพียงสำเนาไม่ใช่ต้นฉบับเท่านั้น ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าสำเนาเอกสารนั้น ถูกต้องตรงกับต้นฉบับแล้ว ศาลจึงรับฟังเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นพยานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 (1) ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยาน และพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ในความสูญหายของสินค้าตามฟ้องมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ จำนวน 2,000 บาท แทนโจทก์

Share