คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4584/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยให้การตอนแรกว่าเคยทำสัญญากู้ยืมเงิน 1 ฉบับให้โจทก์นำไปกู้เงินจากผู้มีชื่อซึ่งเป็นหัวหน้าของโจทก์แต่ต่อมาให้การว่าสัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้จะเป็นฉบับเดียวกับที่จำเลยทำให้โจทก์เพื่อกู้ยืมเงินจากผู้มีชื่อหรือไม่จำเลยไม่ขอรับรองก็ตาม เมื่อพิเคราะห์สัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์แนบมาท้ายฟ้องปรากฎว่าเป็นสำเนาเอกสารที่กรอกข้อความในช่องว่างทุกช่องรวมทั้งช่องลายมือชื่อผู้เกี่ยวข้องด้วยตัวพิมพ์ดีด จำเลยย่อมไม่อาจทราบได้ว่าสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยเคยทำกับผู้มีชื่อดังกล่าวหรือไม่ การที่จำเลยให้การเช่นนั้นจึงมีเหตุผลไม่ถือว่าขัดแย้งกันจนทำให้ไม่มีประเด็นนำสืบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินจำนวน 35,000 บาท แก่โจทก์ และให้จำเลยเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 20,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาไม่เคยชำระต้นเงินตามสัญญากู้ เอกสารท้ายฟ้องก็ไม่ปรากฎว่าได้ระบุให้จำเลยชำระต้นเงินคืนเมื่อใด หากหนี้ตามสัญญามีจริงก็เป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระแน่นอน จะถือว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ผิดนัดได้โจทก์ก็ต้องทวงถามและกำหนดเวลาให้จำเลยชำระเสียก่อนโจทก์มิได้เคยติดต่อทวงถามแต่อย่างใด จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัดชำระหนี้และผิดสัญญา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยเคยทำสัญญากู้เงิน 1 ฉบับกู้เงินจำนวน 20,000 บาท จากผู้มีชื่อ ซึ่งเป็นหัวหน้าของโจทก์เมื่อประมาณปี 2516 โดยให้โจทก์นำสัญญากู้นั้นไปกู้เงินจากผู้มีชื่อต่อมาจำเลยชำระเงินโดยให้โจทก์นำไปชำระแก่ผู้มีชื่อครบถ้วนผู้มีชื่อได้คืนสัญญากู้ให้โจทก์ แต่โจทก์มิได้นำสัญญากู้มาคืนให้จำเลย สัญญากู้ตามฟ้องจะเป็นสัญญาฉบับเดียวกันกับสัญญาที่จำเลยทำให้โจทก์นำไปกู้เงินจากผู้มีชื่อหรือไม่ จำเลยไม่ขอรับรองถ้าเป็นสัญญาฉบับเดียวกัน โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะหนี้ตามสัญญาได้ระงับไปแล้วด้วยการชำระหนี้ อีกทั้งหนี้ขาดอายุความจำเลยไม่เคยทำสัญญากู้เงินจากโจทก์ สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องจึงเป็นสัญญาปลอมทั้งฉบับหรือปลอมแต่บางส่วน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องรวม 35,000 บาท พร้อมกับชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15ต่อปี ในต้นเงิน 20,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกว่า คำให้การของจำเลยขัดแย้งกันเอง และจำเลยนำสืบนอกคำให้การ รับฟังหักล้างพยานโจทก์ไม่ได้ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า ในข้อที่ว่าคำให้การของจำเลยขัดแย้งกันเองหรือไม่แม้จำเลยให้การตอนแรกว่าเคยทำสัญญากู้ยืมเงิน 1 ฉบับให้โจทก์นำไปกู้เงินจากผู้มีชื่อซึ่งเป็นหัวหน้าของโจทก์ แต่ต่อมาให้การว่าสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้จะเป็นฉบับเดียวกับที่จำเลยทำให้โจทก์เพื่อกู้ยืมเงินจากผู้มีชื่อหรือไม่ จำเลยไม่ขอรับรองก็ตาม เมื่อพิเคราะห์สัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์แนบมาท้ายฟ้องปรากฎว่าเป็นสำเนาที่กรอกข้อความในช่องว่างทุกช่องรวมทั้งช่องลายมือชื่อผู้เกี่ยวข้องด้วยตัวพิมพ์ดีด จำเลยย่อมไม่อาจทราบได้ว่าสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยเคยทำกับผู้มีชื่อดังกล่าวหรือไม่ การที่จำเลยให้การเช่นนั้นจึงมีเหตุผลไม่ถือว่าขัดแย้งกันจนทำให้ไม่มีประเด็นนำสืบ”
พิพากษายืน

Share