แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 นำโฉนดที่ดินไปประกันตัวผู้ต้องหาต่อโจทก์โดยทำหนังสือมอบอำนาจระบุข้อความว่า ให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีอำนาจจัดการประกันตัวผู้ต้องหา นำหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินพร้อมทั้งให้ถ้อยคำต่าง ๆ แก่เจ้าหน้าที่ แม้จำเลยที่ 1 จะเข้าทำสัญญาในนามตนเอง มิได้ระบุว่ากระทำการแทนจำเลยที่ 2 ก็ตามแต่ในการตีความแสดงเจตนานั้นให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 132 แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาขอประกันตัวผู้ต้องหาแทนจำเลยที่ 2 ตามที่ได้รับมอบอำนาจมาหาได้กระทำการเป็นส่วนตัวประกอบกับการมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันผู้ต้องหารายนี้จะต้องมีหลักประกัน และจำเลยที่ 1 ก็ได้ทำสัญญาประกันโดยมอบหลักประกันของจำเลยที่ 2 ให้โจทก์ยึดถือไว้ซึ่งจำเลยที่ 1 จะขอประกันเป็นการส่วนตัวหาได้ไม่ เพราะจำเลยที่ 1ไม่มีหลักทรัพย์เป็นประกัน จึงถือได้ว่าสัญญาประกันรายนี้จำเลยที่ 1เป็นผู้กระทำแทนจำเลยที่ 2 เท่านั้นจำเลยที่ 2 ต้องผูกพันรับผิดต่อโจทก์ในฐานะเป็นตัวการ ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นเพียงตัวแทนหาต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วยไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามสัญญาประกันจำนวน 160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 1ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจนำหลักทรัพย์โฉนดที่ดินเลขที่ 40366 และ 40367 ของจำเลยที่ 2 ไปประกันตัวผู้ต้องหากับโจทก์เท่านั้นต่อมาเกิดขัดข้องส่งตัวผู้ต้องหาไม่ทันแต่ภายหลังจำเลยที่ 1 ได้ส่งตัวผู้ต้องหา และศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับผิดตามสัญญาประกัน จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 ให้การว่า ตามสัญญาประกันมิได้ระบุว่าจำเลยที่ 1 กระทำการแทนจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เพียงมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 นำโฉนดที่ดินเลขที่ 40366 และ 40367 ของจำเลยที่ 2ไปวางเป็นหลักประกันในการประกันตัวผู้ต้องหาเท่านั้น ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 160,000 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 จำนวน 130,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าปรับ 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับกันฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 2 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 นำโฉนดที่ดินเลขที่40366 และ 40367 ตำบลบางเขน (สวนใหญ่) อำเภอเมืองนนทบุรี(ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี อันเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2ไปประกันตัวนางสาววนิดา ว่องไว ผู้ต้องหาซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่รับอนุญาต กับโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอประกันตัวผู้ต้องหาดังกล่าวในนามจำเลยที่ 1 โดยนำที่ดินตามโฉนดดังกล่าวเป็นหลักประกัน และจำเลยที่ 1 ได้เข้าทำสัญญาประกันรายนี้ในนามตนเองพร้อมกับแนบหลักประกันคือโฉนดที่ดินนั้นให้โจทก์ไว้เป็นหลักฐานปรากฏตามคำร้องขอประกันผู้ต้องหา หนังสือมอบอำนาจ และสัญญาประกันเอกสารหมาย จ.1, จ.2 และ จ.5 คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อแรกว่า จำเลยที่ 1 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ตามสัญญาประกันต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 2 มีเจตนาที่แท้จริงขอประกันตัวผู้ต้องหาต่อโจทก์ โดยทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำการแทน อันมีข้อความระบุว่ามอบให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีอำนาจจัดการประกันตัวผู้ต้องหา โดยนำหนังสือรับรองราคาประเมินตามเครื่องหมายเลขที่ดินรวม 2 โฉนดพร้อมทั้งให้ถ้อยคำต่าง ๆ แก่เจ้าหน้าที่ได้ด้วยรายละเอียดปรากฏตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 แม้จำเลยที่ 1 จะเข้าทำสัญญาประกันในนามตนเอง มิได้ระบุว่ากระทำการแทนจำเลยที่ 2 ก็ตาม แต่ในการตีความแสดงเจตนานั้นให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษร ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 132 แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาขอประกันตัวผู้ต้องหาแทนจำเลยที่ 2 ตามที่ได้รับมอบอำนาจมาหาได้กระทำการเป็นส่วนตัวแต่อย่างใดไม่ประกอบกับการมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันผู้ต้องหารายนี้จะต้องมีหลักประกัน และจำเลยที่ 1ก็ได้ทำสัญญาประกันโดยมอบหลักประกันของจำเลยที่ 2 ให้โจทก์ยึดถือไว้ แสดงว่าจำเลยที่ 1 จะขอประกันเป็นการส่วนตัวหาได้ไม่ เพราะจำเลยที่ 1 ไม่มีหลักทรัพย์เป็นประกัน ย่อมถือได้ว่าสัญญาประกันรายนี้จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 2 เท่านั้นจำเลยที่ 2 จึงต้องผูกพันรับผิดต่อโจทก์ในฐานะเป็นตัวการ ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นเพียงตัวแทนหาต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2ด้วยไม่”
พิพากษายืน