แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามระเบียบการฝากเงินกระแสรายวันของธนาคารโจทก์มีว่า ถ้าเงินในบัญชีของจำเลยไม่พอจ่ายตามเช็ค เมื่อธนาคารได้ผ่อนผันจ่ายเงินตามเช็คนั้นให้ไป จำเลยย่อมเป็นอันผูกพันตนที่จะจ่ายเงินสวนที่เกินคืนให้ธนาคารโจทก์ เสมือนหนึ่งได้ขอร้องให้เบิกเงินเกินบัญชีไว้แก่ธนาคาร ธนาคารโจทก์จะคิดดอกเบี้ยเงินเบิกเกินบัญชีเป็นรายวัน (ดอกเบี้ยทบต้น) และจะนำผลดอกเบี้ยนั้นหักบัญชีเป็นรายเดือน จำเลยฝากเงินกระแสรายวันแก่ธนาคารโจทก์โดยโจทก์ตกลงให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารโจทก์ได้โดยคิดดอกเบี้ยทบต้น ย่อมถือได้ว่าเป็นสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี
การที่จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารโจทก์ มีการนำเงินเข้าฝากในบัญชีและเบิกเงินอยู่เรื่อย ๆ โดยวิธีใช้เช็คสั่งจ่ายหลายครั้งและยอมเสียดอกเบี้ยทบต้น ตามธรรมเนียมประเพณีของธนาคารดังนี้ เข้าลักษณะสัญญาบัญชีเดินสะพัด แม้หลังจากจำเลยใช้เช็คสั่งจ่ายเบิกเงินครั้งสุดท้ายแล้ว บัญชีของจำเลยได้หยุดเดินสะพัด โดยจำเลยมิได้นำเงินเข้าฝากหรือเบิกเงินจากธนาคารโจทก์อีกเลยจนถึงวันฟ้องจะเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้วก็ตามกรณีก็ต้องนำบทบัญญัติเกี่ยวด้วยเรื่องบัญชีเดินสะพัดมาปรับ ซึ่งการชำระหนี้ย่อมต้องปฏิบัติตามวิธีการของสัญญาบัญชีเดินสะพัด คือให้กระทำได้เมื่อหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินที่คงเหลือ เมื่อไม่ปรากฏว่าการเบิกเงินเกินบัญชีนี้ได้ตกลงกันชำระหนี้เสร็จสิ้นเมื่อใด สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้เงินเบิกเกินบัญชีจึงเกิดขึ้นเมื่อ มีการหักทอนบัญชีกันและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลืออันเป็นการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856, 859
ธนาคารโจทก์ได้มีหนังสือทวงถามลงวันที่ 5 มีนาคม 2519 ไปยังจำเลยให้จัดการชำระเงินตามยอดเงินในบัญชีเงินฝากวันที่ 26 พฤศจิกายน 2518 ให้เสร็จสิ้นภายใน 7 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือทวงถามพ้นกำหนดวันที่ 24 มิถุนายน 2519 จำเลยทราบแล้วมิได้โต้แย้งคัดค้านยอดหนี้และไม่ชำระหนี้ดังนี้ ถือได้ว่าได้มีการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดและหักทอนบัญชีกันแล้วโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2521 ยังไม่ถึง 10 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
(วรรคสามวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเปิดบัญชีฝากกระแสรายวันกับโจทก์เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๑๐ บัญชีเลขที่ ๓๐๑ และโจทก์ยินยอมให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีและคิดดอกเบี้ยทบต้น โดยหักทอนบัญชีเป็นรายเดือนอัตราดอกเบี้ยร้อยละ๑๕ ต่อปี จำเลยได้นำเงินเข้าฝากและสั่งจ่ายเช็คถอนเงินจากบัญชีหลายครั้ง จนเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๘ จำเลยเป็นหนี้ธนาคารโจทก์อยู่ ๑๓๖,๑๐๕.๑๔ บาท โจทก์ทวงถามจำเลย จำเลยรับหนังสือแล้วแต่เพิกเฉย โจทก์หักทอนบัญชีกับจำเลยเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้ธนาคารโจทก์ ๑๔๖,๖๐๗.๓๑ บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงิน ๑๔๖,๖๐๗.๓๑ บาท นับตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๑๙ จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๘๕๗ วัน เป็นดอกเบี้ย ๕๑,๖๓๒.๗๗ บาท รวมเงินที่จำเลยต้องรับผิด ๑๙๘,๒๔๐.๐๘ บาทขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้หลายประการและว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นับเพียงเวลาที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คฉบับสุดท้าย ซึ่งโจทก์ได้จ่ายเงินตามเช็คนั้นไปเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๑๑ เป็นเวลาเกิน ๑๐ ปี จึงขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารโจทก์เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๑๐ และตกลงให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารโจทก์ได้โดยคิดดอกเบี้ยทบต้นหักทอนบัญชีกันเดือนละครั้ง จำเลยได้นำเงินเข้าฝากครั้งแรกโดยเงินสด ๗,๐๐๐ บาท จำเลยได้นำเงินเข้าฝากและสั่งจ่ายเช็คหลายครั้งจนครั้งสุดท้ายจำเลยได้สั่งจ่ายเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๑๑ธนาคารโจทก์ได้จ่ายเงิน เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๑๑ และได้มีการจดลงในบัญชีเงินฝากเอกสารหมาย จ.๕ ซึ่งในวันนั้นจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ ๔๘,๒๕๑.๒๑ บาท หลังจากนั้นจำเลยมิได้ติดต่อกับธนาคารโจทก์ มิได้นำเงินฝากและสั่งจ่ายเช็คให้ธนาคารโจทก์จ่ายเงินอีกเลย จนถึงวันฟ้องคดีนี้
ในปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปรากฏตามระเบียบการฝากเงินกระแสรายวันด้านหลังคำขอเปิดบัญชีกระแสรายวัน (เอกสารหมาย จ.๒) ข้อ ๑๒ ความว่า “ถ้าเงินในบัญชีของผู้ฝากมีไม่พอจ่ายตามเช็คโดยปกติธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายเงินนั้นโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อธนาคารได้ผ่อนผันจ่ายเงินตามเช็คนั้นให้ไปผู้ฝากย่อมเป็นอันยอมรับผูกพันตนที่จะจ่ายเงินส่วนที่เกินคืนให้ธนาคารเสมือนหนึ่งได้ขอร้องให้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับธนาคาร ในกรณีที่เงินในบัญชีเงินฝากมีไม่พอจ่ายตามเช็คหลายฉบับที่นำมาเรียกเก็บพร้อม ๆ กัน ธนาคารทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะจ่ายเงินตามเช็คฉบับใดก็ได้” กับข้อ ๑๙ ความว่า “ธนาคารคิดดอกเบี้ยเงินเบิกเกินบัญชีเป็นรายวัน (ดอกเบี้ยทบต้น) และจะนำผลดอกเบี้ยนั้นหักบัญชีเป็นรายเดือน ข้อตกลงนี้จะใช้ในทุกกรณี” ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ตามระเบียบการฝากเงินดังกล่าว เมื่อมีการตกลงกันเช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าเป็นสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระหว่างธนาคารโจทก์และจำเลย ซึ่งโจทก์จำเลยจะต้องผูกพันปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว การที่จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารโจทก์ มีการนำเงินเข้าฝากในบัญชี และเบิกเงินอยู่เรื่อย ๆ โดยวิธีใช้เช็คสั่งจ่ายหลายครั้งและยอมเสียดอกเบี้ยทบต้นตามธรรมเนียมประเพณีของธนาคาร ดังนี้ เข้าลักษณะสัญญาบัญชีเดินสะพัด ฉะนั้นแม้หลังจากจำเลยใช้เช็คสั่งจ่ายเบิกเงินครั้งสุดท้ายแล้วเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๑๑ บัญชีของจำเลยได้หยุดเดินสะพัด โดยจำเลยมิได้นำเงินเข้าฝากหรือเบิกเงินจากธนาคารโจทก์อีกเลย จนถึงวันฟ้องคดีนี้จะเป็นเวลาเกิน ๑๐ ปีแล้วก็ตาม กรณีก็ต้องนำบทบัญญัติเกี่ยวด้วยเรื่องบัญชีเดินสะพัดมาปรับซึ่งการชำระหนี้ย่อมต้องปฏิบัติตามวิธีการของสัญญาบัญชีเดินสะพัด คือให้กระทำได้เมื่อมีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือ ไม่ปรากฏว่าการเบิกเงินเกินบัญชีนี้ได้ตกลงกันชำระหนี้เสร็จสิ้นเมื่อใด สิทธิเรียกร้องให้ชำระเงินเบิกเกินบัญชีจึงเกิดขึ้นเมื่อมีการหักทอนบัญชีกันและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลืออันเป็นการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๖,๘๕๙ คดีนี้ฟังได้ตามพยานหลักฐานโจทก์ว่าธนาคารโจทก์ได้มีหนังสือทวงถามลงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๑๙ ไปยังจำเลยให้จัดการชำระเงินจำนวน ๑๓๖,๑๐๕ บาท ๑๔ สตางค์ ตามยอดเงินในบัญชีเงินฝาก วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๘ ให้เสร็จสิ้นภายใน ๗ วันนับแต่วันรับหนังสือทวงถามคือนับตั้งแต่วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๑๙ ดังปรากฏตามหนังสือทวงถามและใบตอบรับเอกสารหมาย จ.๓, จ.๔ จำเลยทราบแล้วมิได้โต้แย้งคัดค้านยอดหนี้ตามที่ธนาคารโจทก์แจ้งไป พ้นกำหนด ๗ วันแล้วคือวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๑๙ ก็ไม่จัดการชำระหนี้ ดังนี้ถือได้ว่าได้มีการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดและหักทอนบัญชีกันแล้วอายุความต้องถือตามหนี้สัญญาบัญชีเดินสะพัดโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๒๑ ยังไม่ถึง ๑๐ ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยรับผิดชำระหนี้จำนวน ๑๓๖,๑๐๕.๑๔ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยทบต้นตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๘ ถึงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๑๙ ส่วนดอกเบี้ยต่อจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยธรรมดาในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ