คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5797/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่จำเลยฎีกาว่า การตั้งตัวแทนซื้อขายที่ดินต้องทำเป็นหนังสือแต่โจทก์จำเลยมิได้ทำเป็นหนังสือต่อกันจึงไม่สมบูรณ์นั้น เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยมิได้ยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จำเลยย่อมมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง คดีที่โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทแทนโจทก์ จำเลยในฐานะตัวแทนของโจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดดังกล่าวให้แก่บุคคลภายนอกแล้วรับเงินค่าที่ดินไปเป็นประโยชน์ส่วนตน ขอให้จำเลยคืนเงินค่าที่ดินแก่โจทก์จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยมิได้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแทนโจทก์นั้นเป็นเรื่องที่โจทก์จำเลยโต้เถียงกันโดยเฉพาะว่าจำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์โดยจำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแทนโจทก์หรือไม่ กรณีไม่เกี่ยวกับหนี้ตามสัญญาซื้อขายที่ดินโดยอาศัยสัญญาตัวแทนเป็นมูลฟ้อง ดังนั้น การที่โจทก์ตั้งจำเลยเป็นตัวแทนขายที่ดินพิพาทโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือจึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 133388 ถึง 133396 ตำบลวังทองหลาง อำเภอบางกะปิกรุงเทพมหานคร รวม 9 โฉนด ทั้งนี้โจทก์ได้ให้จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนและใส่ชื่อจำเลยในโฉนดที่ดินทั้งเก้าฉบับดังกล่าว เพื่อสะดวกในการขายที่ดินแทนโจทก์ เมื่อวันที่25 กันยายน 2529 จำเลยในฐานะตัวแทนของโจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินทั้งเก้าโฉนดดังกล่าวให้แก่นายโกเมน มณีไพโรจน์ ในราคา2,760,800 บาท โดยจำเลยได้รับเงินมัดจำแล้วในวันทำสัญญาจำนวน400,000 บาท ส่วนที่เหลือจำนวน 2,360,800 บาท นั้น เมื่อนายโกเมนชำระราคาครบถ้วนแล้วจึงจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ยินยอมด้วยในการทำสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวและได้รับมอบเงินมัดจำจากจำเลยแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2530จำเลยโดยปราศจากและนอกเหนืออำนาจได้ทำสัญญาขายที่ดินทั้งเก้าโฉนดให้แก่นายโกเมน ในราคา 1,218,000 บาท โดยจำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตนและได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่นายโกเมน การกระทำของจำเลยดังกล่าวโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมหรือให้อำนาจจำเลยแต่อย่างใด และทำให้โจทก์เสียหายเนื่องจากตามสัญญาจะซื้อจะขายนั้น นายโกเมนต้องชำระราคาที่ดินที่เหลืออีกจำนวน 2,360,800 บาท ครบถ้วนแล้วจึงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่นายโกเมน จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ราคาที่ดินจำนวน 2,360,800 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 3 มีนาคม 2530 เป็นต้นไปจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 77 วันเป็นเงินค่าดอกเบี้ย 37,352.38 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น2,398,152.38 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน2,398,152.38 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 2,360,800 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งเก้าโฉนดโดยจำเลยซื้อมาจากหม่อมหลวงทวีสันต์ ลดาวัลย์จำเลยมิได้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแทนโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน2,360,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 3 มีนาคม 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (19 มิถุนายน 2530)ให้โจทก์ไม่เกิน 37,352.38 บาท ตามที่โจทก์ขอ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าเดิมที่ดินพิพาททั้งเก้าโฉนดเป็นของหม่อมหลวงทวีสันต์ ลดาวัลย์ได้มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้เป็นชื่อของจำเลยเมื่อวันที่6 พฤษภาคม 2529 ต่อมาวันที่ 25 กันยายน 2529 จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทให้นายโกเมน มณีไพโรจน์ โดยนายโกเมนได้ชำระเงินมัดจำให้ 400,000 บาท ในวันที่ 3 มีนาคม 2530จำเลยได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่นายโกเมนมีปัญหาต้องวินิจฉัยในข้อแรกว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทหรือเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงในปัญหาข้อนี้ว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีเหตุผลและน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท จำเลยเป็นเพียงผู้มีชื่อในโฉนดที่ดินแทนโจทก์
ปัญหาต้องวินิจฉัยในข้อต่อไปมีว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระค่าเสียหายให้โจทก์หรือไม่ ในข้อนี้จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท โจทก์ย่อมไม่อาจฟ้องบังคับให้จำเลยต้องรับผิดชำระค่าเสียหายให้ ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้นจำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าเสียหายให้โจทก์
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า การตั้งตัวแทนซื้อขายที่ดินต้องทำเป็นหนังสือแต่โจทก์จำเลยมิได้ทำเป็นหนังสือต่อกันจึงไม่สมบูรณ์นั้น เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จำเลยย่อมมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง แต่คดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์จำเลยโต้เถียงกันโดยเฉพาะว่าจำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์โดยจำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งเก้าโฉนดแทนโจทก์หรือไม่ กรณีไม่เกี่ยวกับหนี้ตามสัญญาซื้อขายที่ดินโดยอาศัยสัญญาตัวแทนเป็นมูลฟ้อง ดังนั้น การที่โจทก์ตั้งจำเลยเป็นตัวแทนขายที่ดินพิพาทโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือ จึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 วรรคหนึ่ง
พิพากษายืน

Share