คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 458/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะทำการพิจารณาพิพากษาได้นั้น เมื่อศาลแขวงได้ทำการพิจารณาพิพากษาแล้ว การที่คู่ความจะอุทธรณ์คำพิพากษาจึงต้องบังคับตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 ม. 22 กรณีเช่นนี้ฝ่ายโจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้เลย

ย่อยาว

เดิมโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์ตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. ๓๑๔ และประมวลกฎหมายอาญา ม.๓๕, ๓๕๓ จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลแขวงพระนครเหนือทำการพิจารณาแล้วฟังว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริต ไม่มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ พิพากษาให้ยกฟ้อง โจทก์ฟ้องอุทธรณ์ให้ข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ โดยอ้างเหตุว่าอุทธรณ์โจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ ม. ๒๒
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งรับอุทธรณ์โจทก์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีนี้เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะทำการพิจารณาพิพากษาได้ เมื่อศาลแขวงได้ทำการพิจารณาพิพากษาแล้วการที่คู่ความจะอุทธรณ์คำพิพากษาจึงต้องบังคับตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ ม.๒๒ ซึ่งห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลแขวงในปัญหาข้อเท็จจริง เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นไว้ประการใด กรณีเช่นนี้ฝ่ายโจทก์จึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้เลย กฎหมายบทนี้หาใช่เป็นบทบัญญัติห้ามเฉพาะให้ฝ่ายจำเลยอุทธรณ์เท่านั้น ดังที่โจทก์ได้แย้งมาในฎีกานั้นไม่ ตรงกันข้ามกลับมีความประสงค์ให้จำเลยมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้บางประการ จึงได้บัญญัติยกเว้นข้อห้ามให้แต่ฝ่ายจำเลยไว้ แต่หาได้บัญญัติข้อยกเว้นให้สิทธิแก่ฝ่ายโจทก์ไว้ประการใด
“การอุทธรณ์ให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญา” นั้นก็มีความหมายเพียงว่า เมื่ออุทธรณ์ไม่ต้องห้ามตามบทมาตรานี้แล้ว ก็ให้ดำเนินไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาเท่านั้น มิได้หมายความถึงว่าจะให้นำกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญามาใช้จนเป็นปฏิปักษ์ขัดแย้งกับบทบัญญัติที่โจทก์อ้างว่า แม้แต่ชั้นศาลไต่สวนมูลฟ้องเมื่อสั่งว่าคดีไม่มีมูล โจทก์ยังอุทธรณ์ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. ๑๗๐ ไฉนกรณีในชั้นพิจารณาของศาลโจทก์จึงอุทธรณ์ไม่ได้นั้น จะพึงเห็นได้ว่า รูปคดีตามอุทธรณ์เป็นคนละอย่าง กฎหมายที่จะนำมาใช้บังคับก็คนละฉบับ ซึ่งมีเหตุที่จะต้องบัญญัติต่างกันจะนำมาเปรียบกันเป็นการไม่ชอบ คดีที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงทำการพิจารณาพิพากษาได้นั้น โดยปกติกฎหมายถือว่าเป็นกรณีเล็ก ๆ น้อย ๆ ต้องการความรวดเร็ว จึงต้องจำกัดการอุทธรณ์ไว้บ้าง แต่ถึงดังนั้น ก็ยังระวังประโยชน์ให้แก่ฝ่ายจำเลยโดยบัญญัติยกเว้นข้อห้ามนั้นไว้ด้วย ซึ่งต่างกับกรณีเรื่องไต่สวนมูลฟ้องซึ่งอาจเป็นคดีที่สำคัญกฎหมายแประสงค์ให้มีการกลั่นกรองหลายชั้น จึงให้สิทธิโจทก์อุทธรณ์ฎีกาได้ จะนำมาเปรียบกันมิได้ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น จึงให้ยกเสีย คงพิพากษายืนตามคำสั่งศาลอุทธรณ์

Share