คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1005/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีอาญา ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้สั่งให้ขังจำเลยไว้ หรือให้เรียกประกันระหว่างฎีกา แต่ในขณะที่คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ผู้ประกันได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวโดยมีประกันและศาลชั้นต้นได้สั่งอนุญาต สัญญาประกันดังกล่าวนี้ ยังคงมีผลสมบูรณ์ตลอดถึง คดีอยู่ระหว่างฎีกา เพราะสัญญาประกันในคดีอาญาจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อคดีถึงที่สุด เว้นแต่มีการถอนการตาย การผิดสัญญาประกัน หรือศาลสั่งยกเลิก ผู้ประกันจะอ้างว่าได้ทำสัญญาประกันโดยเข้าใจผิดหาได้ไม่ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2503)
ถ้าผู้ประกันร้องเป็นประเด็นแต่ข้อเดียวว่า สัญญาประกันไม่ผูกพันเพราะไม่มีเหตุหรือมูลหนี้เท่านั้นศาลก็ย่อมไม่มีหน้าที่ที่จะเอื้อมไปวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ไปศาลตามหมายนัดเพราะอะไร
ในคดีอาญา แม้โจทก์จำเลยต่างเป็นราษฎรด้วยกัน เมื่อมีการผิดสัญญาประกัน หรือมีกรณีเกี่ยวกับการบังคับตามสัญญาประกันเกิดขึ้น อัยการก็ย่อมมีอำนาจฎีกาได้

ย่อยาว

จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ประกันจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ และประกันตัวเอง โดยทำสัญญาไว้ต่อศาล
ในวันมัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาผู้ประกันและจำเลยทุกคนไม่มาศาล โดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง (ศาลได้ส่งหมายนัดโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว) ศาลชั้นต้นสั่งปรับผู้ประกันรายละ ๕๐,๐๐๐ บาทและออกคำบังคับให้ชำระค่าปรับตามนี้
ผู้ประกันยื่นคำร้องว่า เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้อง และศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ก็มิได้สั่งขังจำเลยได้ระหว่างฎีกา จึงไม่จำเป็นต้องมีการประกัน การที่ผู้ประกันยื่นคำร้องขอประกัน และเข้าทำสัญญาประกันกับศาล จึงเกิดขึ้นโดยความสำคัญผิด ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งปรับและคำบังคับดังกล่าว
ศาลจังหวัดภูเก็ตสั่งว่า เมื่อคดีอยู่ในระหว่างฎีกา ศาลย่อมมีอำนาจสั่งขังจำเลยไว้หรือปล่อยชั่วคราวระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕ วรรคแรก สัญญาประกันที่ผู้ประกันทำไว้ต่อศาล จึงมีผลตามกฎหมาย ให้ยกคำร้อง
ผู้ประกันอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นเรื่องเกิดจากความสำคัญผิด เพราะความจริงไม่มีความจำเป็นจะต้องประกันอย่างไรแล้ว และการที่ศาลทำสัญญาประกันไป นั้นหากผู้ประกันไม่ขอประกัน ศาลคงไม่เรียกประกัน และสัญญาประกันคงไม่เกิดมีขึ้น จึงฟังได้ว่าการแสดงเจตนาของคู่สัญญาเป็นไปด้วยความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญ สัญญาประกันย่อมเป็นโมฆะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๙ คำสั่งศาลที่ให้ปรับผู้ประกันจึงไม่มีผลผูกพันผู้ประกัน แล้วศาลอุทธรณ์ยังได้กล่าวต่อไปด้วยว่า สำหรับจำเลยที่ ๓ นั้น ได้โทรเลขบอกไปว่า ป่วย แต่โทรเลขไปถึงศาลช้าไป ศาลสั่งปรับเสียก่อนแล้ว จะนับว่าเป็นความผิดของจำเลยที่ ๓ ที่ไม่ไปศาลตามกำหนดยังไม่ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้ปรับผู้ประกันเสียทั้งหมด และให้คืนโฉนดที่วางประกัน
อัยการจังหวัดภูเก็ตฎีกาว่า ผู้ประกันยังคงต้องรับผิด
ศาลฎีกาโดยที่ ประชุมใหญ่เห็นว่า สัญญาประกันหาได้สิ้นสุดเพราะศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีอาญานั้นไม่ มิฉะนั้นแล้ว ในคดีอาญาทุกราย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แล้วก็จะต้องตามจับตัวจำเลยมาเพื่อการพิจารณาของศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา โดยผู้ประกันไม่ต้องรับผิดชอบอย่างไรเสมอไป สัญญาประกันในคดีจะสิ้นสุด ถ้าไม่มีการถอน การตาย การผิดสัญญาประกัน หรือการที่ศาลสั่งยกเลิก ก็ต่อเมื่อคดีถึงที่สุด ดังที่บัญญัติไว้ ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๑๘ การที่ผู้ประกันอ้างว่าได้ทำสัญญาประกันไปโดยเข้าใจผิดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ประกันไม่ได้เข้าใจผิด ผู้ประกันเข้าใจถูกต้อง เป็นไปตาม กฎหมายที่บังคับแล้ว การที่ผู้มีประกันได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวโดยมีประกันขึ้นมา และศาลได้สั่งอนุญาตก็เป็นการถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้วว่า ศาลได้สั่งปล่อยชั่วคราวโดยมีประกัน สัญญาประกันที่ผู้ประกันได้ทำต่อศาลจึงเป็นอันสมบูรณ์ทุกประการ
ที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยถึงการที่จำเลยที่ ๓ ว่าจำเลยที่ ๓ ไม่ได้หลบหนีการที่ไม่ได้ไปศาลไม่ใช่เป็นความผิดของจำเลยที่ ๓ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องนี้ผู้ประกันไม่ได้นำตัวจำเลยมาศาลตามสัญญาประกันเมื่อศาลนัดให้นำส่ง ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยหลบหนีหรือไม่ หรือเป็นความผิดของจำเลยหรือไม่ และอย่างไรก็ได้ ในกรณีนี้ ผู้ประกันไม่ได้นำตัวจำเลยมาส่งศาล และยกเหตุเหล่านี้ ขึ้นมาอ้างเพื่อลบล้างหรือลดหย่อนจำนวนเงินตามคำสั่งปรับนั้นแต่อย่างใดเลย ผู้ประกันร้องเป็นประเด็นแต่ข้อเดียวว่า สัญญาประกันไม่ผูกพัน เพราะไม่มีเหตุหรือมูลหนี้ เท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลไม่มีหน้าที่ที่จะเอื้อมไปวินิจฉัยจำเลยไม่ไปศาลเพราะอะไร
ศาลฎีกาชี้ขาดว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ปรับผู้ประกันนั้นชอบแล้วพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ โดยให้บังคับการไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share