แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำว่า มัดจำ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 377 มีความหมายว่าจะต้องเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ให้ไว้แก่กันเมื่อเข้าทำสัญญา ซึ่งอาจเป็นเงินหรือสิ่งมีค่าอื่นซึ่งมีค่าในตัวเอง สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยระบุว่า ในวันทำสัญญาผู้จะซื้อได้รับเงินจำนวน 1,788,000 บาท เพื่อเป็นการวางมัดจำไว้กับผู้จะขายโดยเงินมัดจำดังกล่าวจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้า 3 ฉบับ เมื่อเช็คเป็นตราสารซึ่งผู้สั่งจ่ายสั่งธนาคารให้ใช้เงินเมื่อทวงถามให้แก่ผู้รับเงิน จึงเป็นทรัพย์สินตาม ป.พ.พ. มาตรา 138 และเป็นสิ่งที่มีค่าในตัวเอง เพราะสามารถเรียกเก็บเงินหรือโอนเปลี่ยนมือได้จึงส่งมอบ ให้แก่กันเป็นมัดจำได้ แม้เช็คลงวันที่หลังจากวันทำสัญญา แต่เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยจึงมีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2539 จำเลยออกเช็คธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) สาขาสะพานพระปิ่นเกล้า ลงวันที่ 23 เมษายน 2540 จำนวนเงิน 1,472,000 บาท เพื่อชำระหนี้ค่ามัดจำสัญญาจะซื้อ จะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 33950 โดยมอบเช็คให้แก่โจทก์ ครั้นเมื่อถึงวันที่ลงในเช็ค โจทก์นำไปเข้าบัญชีของโจทก์ ที่ธนาคารศรีนครจำกัด (มหาชน) สาขาสะพานพระปิ่นเกล้า เพื่อเรียกเก็บเงินตามวิธีการของธนาคาร แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2540 โดยให้เหตุผลว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย ขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยไม่ได้ให้การ ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ถึงแก่กรรมนางสาวเนื้อทิพย์ ภูเขียว บุตรของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตาย ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่าจำเลยได้จ่ายเช็คพิพาทเพื่อเป็นการชำระค่ามัดจำ การสั่งจ่ายเช็คพิพาทของจำเลยจึงเป็นการสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อเช็คพิพาทเรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายจึงต้องรับผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 เห็นว่า คำว่ามัดจำตาม ป.พ.พ. มาตรา 373 นั้น มีความหมายว่าจะต้องเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ให้ไว้แก่กัน เมื่อเข้าทำสัญญาซึ่งอาจจะเป็นเงินหรือสิ่งมีค่าอื่นซึ่งมีค่าในตัวเอง เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ข้อ 2 ระบุว่า ในวันทำสัญญานี้ผู้จะซื้อได้รับเงินจำนวน 1,788,000 บาท เพื่อเป็นการวางมัดจำไว้กับผู้จะขาย และผู้จะขายได้รับไว้ถูกต้องแล้ว โดยเงินมัดจำดังกล่าวจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้า 3 ฉบับ เมื่อเช็คเป็นตราสารซึ่งผู้สั่งจ่ายสั่งธนาคารให้ใช้เงินเมื่อทวงถามให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งอันเรียกว่าผู้รับเงินจึงเป็นทรัพย์สินตาม ป.พ.พ. มาตรา 138 และเป็นสิ่งที่มีค่าในตัวเองเพราะสามารถ เรียกเก็บเงินหรือโอนเปลี่ยนมือได้ จึงส่งมอบให้แก่กันเป็นมัดจำได้ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เช็คพิพาทลงวันที่หลังจากวันทำสัญญาถึง 6 เดือนเศษ มูลหนี้ตามเช็คจึงไม่ใช่เงินมัดจำตามกฎหมาย ขณะที่จำเลยออกเช็คจึงไม่มีการ วางมัดจำตามความหมายของกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.