คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1308/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การนับอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1272 ต้องนับแต่วันจดทะเบียนเลิกการชำระบัญชี หาได้นับแต่วันจดทะเบียนเลิกห้างหุ้นส่วนจำกัดไม่
เงินค่าภาษีอากรรายการที่โจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ แสดงว่าโจทก์พอใจการประเมินในรายการนั้นแล้วดังนี้ โจทก์จะยกมาต่อสู้ในชั้นศาลว่าการประเมินรายการนั้นไม่ถูกต้องหาได้ไม่ปัญหานี้แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ว่ากันมาแล้วในศาลล่างทั้งสองโดยชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณา โดยเรียกห้างหุ้นส่วนจำกัด ย. ว่า โจทก์ที่ ๑ นายประสาทว่าโจทก์ที่ ๒ และเรียกกรมสรรพากร นางนิภา นายเหลือ นายปรีชา และนายเสงี่ยมว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ ตามลำดับ
สำนวนแรกโจทก์ที่ ๒ ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ที่ ๑ เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ ได้ประเมินภาษีเงินได้และภาษีการค้าของโจทก์ที่ ๑ โดยมิชอบ ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยทั้งห้าให้การว่า การประเมินได้กระทำโดยถูกต้องและชอบด้วยเหตุผลแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลังกรมสรรพากรฟ้องขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองชำระเงินตามที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมิน
โจทก์ที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
โจทก์ที่ ๒ ให้การว่า คดีขาดอายุความและโจทก์ที่ ๑ จดทะเบียนเลิกห้างเกิน ๒ ปีแล้ว และการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินไม่ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีการค้าบางรายการ
โจทก์ที่ ๒ และจำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้เพิกถอนหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้และภาษีการค้ามากรายการแต่เดิม
โจทก์ที่ ๒ และจำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ที่ ๒ ฎีกาว่า การนับอายุความสองปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๗๒ ต้องนับแต่วันขอจดทะเบียนเลิกห้างนั้น เห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๒๗๒ บัญญัติว่า .”ในคดีฟ้องเรียกหนี้สินซึ่งห้างหุ้นส่วนฯลฯ หรือผู้เป็นหุ้นส่วน ฯลฯ เป็นลูกหนี้อยู่ในฐานเช่นนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นกำหนดสองปีนับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี” การนับอายุความตามมาตรานี้จึงหาได้นับแต่วันจดทะเบียนเลิกห้างไม่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความ ห้างโจทก์ที่ ๑ จดทะเบียนเสร็จ การชำระบัญชีเมื่อวันที่ ๘ มกราคม๒๕๒๕ จำเลยที่ ๑ ฟ้องคดีวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๒๗ คดีของจำเลยที่๑ จึงไม่ขาดอายุความ
ที่โจทก์ที่ ๒ ฎีกาว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ กค.๐๘๒๐/๑๐๔๗/๒/๐๑๔๖๐-๐๑๔๖๓ในส่วนที่ไม่ยอมให้โจทก์ที่ ๑ หักค่าเสื่อมราคาโทรทัศน์สีโดยถือว่ามิใช่เป็นรายจ่ายเกี่ยวแก่กิจการกับค่าเสื่อมราคาอาคารเพราะไม่มีหลักฐานในการก่อสร้างเพิ่มเติมเป็นการประเมินไม่ชอบนั้นศาลฎีกาเห็นว่า ในชั้นอุทธรณ์การประเมิน โจทก์ที่ ๑ มิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ด้วยดังนี้ เมื่อกรมสรรพากรนำคดีมาฟ้องเรียกเงินค่าภาษีส่วนนี้ โจทก์ทั้งสองจะต่อสู้ว่าการประเมินภาษีในปัญหานี้ไม่ถูกต้องไม่ได้ เทียบนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๘๐๙/๒๕๑๘
ข้อที่โจทก์ที่ ๒ ฎีกาว่า เจ้าพนักงานประเมินไม่ยอมให้โจทก์ที่ ๑ หักค่าใช้จ่ายในการซื้อวัสดุหีบห่อ จำนวน ๑๐๑,๔๘๕.๑๕ บาท ค่าใช้จ่ายในการซื้อวัตถุดิบ ๑๒,๖๐๐ บาท นำค่าวัตถุดิบในการผลิตยา ๒๓,๕๐๖ บาท ที่โจทก์ส่งคืนมาตัดบัญชีซื้อไม่ยอมให้นำค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องใช้ในการผลิตยา๑๖,๐๐๐ บาท มาเป็นค่าใช้จ่ายโดยถือว่าเป็นรายจ่ายต้องห้าม กับนำยอดขาดทุนในการจำหน่ายทรัพย์สินในวันเลิกประกอบการค้า๑๘๕,๕๙๖.๘๕ บาท มาเป็นรายรับโดยถือว่าความจริงโจทก์ที่ ๑จำหน่ายทรัพย์ไปในราคาทุนกับนำผลต่างของสินค้าคงเหลือปลายปี ๒๕๒๐ และต้นปี ๒๕๒๑ จำนวน ๔๐,๗๗๕.๕๐ บาท มาเป็นรายรับเป็นการประเมินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าปัญหาเหล่านี้ โจทก์ที่ ๑ มิได้อุทธรณ์การประเมินของเจ้าพนักงานต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามกฎหมาย แสดงว่า โจทก์ที่ ๑ พอใจการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินในรายการเหล่านั้นแล้ว ดังนี้จะมาต่อสู้ว่าการประเมินไม่ถูกต้องในภายหลังไม่ได้ปัญหาเหล่านี้แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ว่ากันมาแล้วในศาลล่างทั้งสองโดยชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ ๒ และฎีกาของจำเลยทั้งห้าทุกข้อฟังไม่ขึ้น แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ที่ ๒ ชนะคดีและบังคับโจทก์ทั้งสองให้ชำระหนี้บางส่วนโดยมิได้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ ในส่วนที่โจทก์ที่ ๒ ชนะคดี กับมิได้ยกฟ้องโจทก์ที่ ๒ในส่วนที่บังคับให้โจทก์ทั้งสองชำระหนี้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่ายังไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ฟ้องโจทก์ที่ ๒ ที่ขอให้เพิกถอนหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลกับเพิกถอนแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้า ลงวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๒๓ นั้น ให้เพิกถอนการประเมินในส่วนที่เกี่ยวกับรายรับสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๒๐, ๒๕๒๑จำนวน ๕๑๒,๐๕๒ บาท ๑,๘๒๓,๐๑๕.๔๐ บาท ตามลำดับ ฟ้องโจทก์ที่ ๒นอกจากที่กล่าวให้ยก และให้โจทก์ทั้งสองชำระเงินตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลและแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้า ลงวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๒๓ ในส่วนที่มิได้เพิกถอนให้จำเลยที่ ๑ ฟ้องของจำเลยที่ ๑ ในส่วนที่มีคำพิพากษาให้เพิกถอนให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share