แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ขณะเกิดเหตุรถยนต์จอดอยู่นอกรั้วที่จำเลยกับพวกเข้าไปลักทรัพย์ โดยจำเลยกับพวกถูกจับขณะที่ยังไม่ได้ขนย้ายทรัพย์ที่ลักมาขึ้นรถยนต์ จำเลยกับพวกเพียงนำรถยนต์มาจอดใกล้บริเวณเกิดเหตุ เท่านั้น และจะใช้รถยนต์ในการขนย้ายทรัพย์ออกไปหลังจากที่ลักทรัพย์สำเร็จแล้ว เมื่อยังไม่มีการขนย้ายทรัพย์ที่ลักมาขึ้นรถยนต์ จึงไม่มีการใช้รถยนต์เป็นเครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์โดยตรงรถยนต์จึงมิใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดอันพึงจะริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 จึงต้องคืนให้แก่ผู้ร้อง
ปัญหาที่ว่ารถยนต์ของกลางเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดหรือไม่แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นอ้างสู่ศาลฎีกาโดยตรงก็ตาม แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 335(3)(7) วรรคสาม (ที่ถูกวรรคสอง), 336 ทวิ และริบรถยนต์หมายเลขทะเบียน ผ-2192 พิษณุโลก ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า รถยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย และรถยนต์ของกลางไม่ใช่ยานพาหนะที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ขอให้สั่งคืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องมิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลาง ผู้ร้องกระทำความผิดกับจำเลยและรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดโดยใช้รถยนต์ของกลางดังกล่าวเป็นยานพาหนะในการกระทำผิดร่วมกับจำเลยด้วย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกฟ้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คำพิพากษากลับ ให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลย ผู้ร้องและนายวิชิต มะพันธ์หรือมะพัน ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในคดีเดียวกันข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ พร้อมกับยึดรถยนต์หมายเลขทะเบียน ผ-2192 พิษณุโลก เป็นของกลางจำเลยถูกฟ้องดำเนินคดีที่ศาลชั้นต้นซึ่งพิพากษาให้จำคุกจำเลย 6 เดือน รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี โดยคุมความประพฤติจำเลยกับให้ริบรถยนต์ของกลาง ส่วนผู้ร้องและนายวิชิตถูกแยกฟ้องไป ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในคดีหมายเลขแดงที่ 10737/2542 ซึ่งพิพากษาให้จำคุกคนละ 2 ปี แต่ไม่ริบรถยนต์ของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า รถยนต์ของกลางเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดหรือไม่ ในข้อนี้ได้ความจากร้อยตำรวจโทสุรพงศ์ นามปัดสา พยานโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านทนายผู้ร้องว่า ขณะเกิดเหตุรถยนต์ของกลางจอดอยู่นอกรั้วที่จำเลยกับพวกเข้าไปลักทรัพย์ โดยจำเลยกับพวกถูกจับขณะที่ยังไม่ได้ขนย้ายทรัพย์ที่ลักมาขึ้นรถยนต์ของกลางแต่อย่างใด เห็นได้ว่า จำเลยกับพวกเพียงนำรถยนต์ของกลางมาจอดใกล้บริเวณเกิดเหตุเท่านั้น และจะใช้รถยนต์คันดังกล่าวในการขนย้ายทรัพย์ออกไปหลังจากที่ลักทรัพย์สำเร็จแล้ว เมื่อยังไม่มีการขนย้ายทรัพย์ที่ลักมาขึ้นรถยนต์ของกลาง จึงรับฟังไม่ได้ว่า มีการใช้รถยนต์ของกลางเป็นเครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์โดยตรง รถยนต์ของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดอันพึงริบได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 จึงต้องคืนให้แก่ผู้ร้อง ปัญหาที่ว่ารถยนต์ของกลางเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดหรือไม่แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นอ้างสู่ศาลฎีกาโดยตรงก็ตาม แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วปัญหาตามฎีกาโจทก์จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน