แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การขอคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา264นั้นต้องเป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ในประเด็นที่พิพาทกันตามคำฟ้องและคำให้การ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองปลูกสร้างโรงอิฐปลูกต้นยางพาราต้นกล้วยและต้นมะพร้าวในที่ดินสาธารณประโยชน์บัดนี้ทางราชการประสงค์จะใช้ที่ดินปลูกสร้างอาคารจึงขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินจำเลยให้การว่าจำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาจากผู้มีชื่อที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ดินทุ่งหวังหรือทุ่งช่องกิ่วไม่ครอบคลุมถึงที่ดินของจำเลยขอให้ยกฟ้องกรณีจึงเป็นเรื่องพิพาทเกี่ยวกับตัวที่ดินเป็นหลักซึ่งหากศาลพิพากษาให้จำเลยชนะคดีก็มีที่ดินที่จะบังคับคดีได้ตามคำฟ้องและคำให้การไม่มีประเด็นเรื่องโจทก์ทำละเมิดต่อจำเลยและจำเลยได้รับความเสียหายจากการกระทำนั้นจึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทหรือขุดลอกรื้อถอนดินลูกรังเสาเข็มและอาคารออกไปจากที่ดินพิพาทในระหว่างพิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินสาธารณประโยชน์ทุ่งหวัง หรือทุ่งช่องกิ่วซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านสวน อำเภอเมืองตรังจังหวัดตรัง เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันเมื่อประมาณปี 2532 จำเลยได้บุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองปลูกสร้างโรงทำอิฐ ปลูกต้นยางพารา ต้นกล้วย และต้นมะพร้าวในที่ดินสาธารณประโยชน์ ทุ่งหวังหรือทุ่งช่องกิ่ว ซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของโจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ 48 ไร่ เมื่อโจทก์ทราบจึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินภายใน 90 วัน แต่จำเลยเพิกเฉย เป็นเหตุให้ทางราชการกระทรวงสาธารณสุขไม่สามารถเข้าไปสร้างสถาบันโรคผิวหนังเขตร้อนได้ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการเป็นอย่างมาก ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินสาธารณประโยชน์ ทุ่งหวังหรือทุ่งช่องกิ่ว
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาที่ดินตามฟ้อง การออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงตามเอกสารท้ายฟ้องไม่ถูกต้อง ที่ดินตามฟ้องจึงไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน ที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามฟ้อง จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากผู้มีชื่อโดยเสียค่าตอบแทนแล้วจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น จำเลยยื่นคำร้องว่าโจทก์และบริวารได้นำรถยนต์สิบล้อหลายคันบรรทุกดินลูกรังเข้าไปถมในที่ดินพิพาทที่จำเลยครอบครองอยู่ ทำการปักไม้วางผังเพื่อทำการก่อสร้างอาคาร และตอกเสาเข็มจำเลยห้ามปรามแล้วแต่โจทก์ไม่เชื่อฟัง ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย และเดือดร้อน หากจำเลยชนะคดี ที่ดินพิพาทที่จำเลยครอบครองจะไม่อยู่ในสภาพเดิมขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามโจทก์และบริวารกระทำการใด ๆ ในที่ดินพิพาท ให้โจทก์และบริวารขุดลอกที่ดินที่ถมแล้วพร้อมด้วยไม้และเสาเข็มออกไปจากที่ดินพิพาท แล้วปรับที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว มี คำสั่ง ยกคำร้อง ของ จำเลย
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การขอคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 นั้น ต้องเป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ในประเด็นที่พิพาทกันตามคำฟ้องและคำให้การคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองปลูกสร้างโรงอิฐ ปลูกต้นยางพารา ต้นกล้วยและต้นมะพร้าวในที่ดินสาธารณประโยชน์ทุ่งหวังหรือทุ่งช่องกิ่ว ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน บัดนี้ทางราชการประสงค์จะใช้ที่ดินปลูกสร้างอาคารสถาบันโรคผิวหนังเขตร้อน จึงขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดิน จำเลยให้การว่าจำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาจากผู้มีชื่อซึ่งได้ครอบครองทำประโยชน์ในฐานะเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นร้อยปีแล้ว ที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ดินทุ่งหวังหรือทุ่งช่องกิ่วไม่ครอบคลุมถึงที่ดินของจำเลยขอให้ยกฟ้อง กรณีจึงเป็นเรื่องพิพาทเกี่ยวกับตัวที่ดินเป็นหลัก ซึ่งหากศาลพิพากษาให้จำเลยชนะคดีก็มีที่ดินที่จะบังคับคดีได้ ตามคำฟ้องและคำให้การไม่มีประเด็นเรื่องโจทก์กระทำละเมิดต่อจำเลย และจำเลยได้รับความเสียหายจากการกระทำนั้นจึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท หรือขุดลอกรื้อถอนดินลูกรัง เสาเข็ม และอาคารออกไปจากที่ดินพิพาทในระหว่างพิจารณา
พิพากษายืน