คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4570/2552

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป.พ.พ. มาตรา 276 บัญญัติว่า “บุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์นั้นใช้สำหรับเอาราคาอสังหาริมทรัพย์และดอกเบี้ยในราคานั้น และมีอยู่เหนืออสังหาริมทรัพย์อันนั้น” หนี้ที่ตกอยู่ภายใต้บุริมสิทธินี้จึงได้แก่ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ค้างชำระและดอกเบี้ยในราคาที่ค้างชำระนั้น ซึ่งเป็นหนี้ที่ผู้ซื้อจะต้องชำระแก่ผู้ขาย แต่โจทก์เป็นผู้ซื้อห้องชุดพิพาทมิใช่ผู้ขาย และโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดห้องชุดพิพาทก็เพื่อออกขายทอดตลาดชำระหนี้ที่จำเลยต้องคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ เนื่องจากจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทให้โจทก์ได้ตามคำพิพากษา เงินดังกล่าวหาใช่ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ค้างชำระและดอกเบี้ยในราคาที่ค้างชำระนั้นไม่ โจทก์จึงไม่มีบุริมสิทธิ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทเลขที่ 8/4 ชั้น 1 อาคารเลขที่ 8 ชื่ออาคารชุดรัชดาโฮม ทะเบียนเลขที่ 20/2538 บนที่ดินโฉนดเลขที่ 33182 และ 33183 ตำบลสามเสนใน (บางซื่อฝั่งใต้) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) หรือแขวงดินแดง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร แก่โจทก์ ให้จำเลยรับเงินจำนวน 562,646 บาท จากโจทก์ หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา โดยให้จำเลยออกค่าใช้จ่ายการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง หากไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องหรือพ้นวิสัย ให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ชำระไปแล้วจำนวน 323,988 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2537 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาท และไม่คืนเงินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดห้องชุดพิพาทออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า ขอให้ศาลสั่งให้ขายทอดตลาดห้องชุดพิพาทโดยปลอดจำนอง และนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญรายอื่นเป็นเงินจำนวน 20,969,125.57 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 10,944,533.02 บาท นับถัดจากวันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองจากการขายทอดตลาดห้องชุดพิพาทของจำเลยก่อนเจ้าหนี้สามัญ จำนวน 10,944,533.02 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2540 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 1,000 บาท แทนผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องเป็นผู้รับโอนสิทธิจำนองจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นครหลวงเครดิต จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำนองของจำเลย โจทก์เป็นผู้ซื้อห้องชุดพิพาทจากจำเลยซึ่งติดจำนองอยู่กับบริษัทดังกล่าว โดยโจทก์ชำระราคาให้แก่จำเลยแล้วบางส่วนจำนวน 323,988 บาท แต่จำเลยผิดสัญญาไม่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทและรับเงินส่วนที่เหลือจากโจทก์ โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดห้องชุดพิพาทเพื่อออกขายทอดตลาดชำระหนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ก่อนในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจำนอง
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้จำนองก่อนโจทก์หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ มีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนผู้ร้อง เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 276 บัญญัติว่า “บุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์นั้นใช้สำหรับเอาราคาอสังหาริมทรัพย์และดอกเบี้ยในราคานั้น และมีอยู่เหนืออสังหาริมทรัพย์อันนั้น” หนี้ที่ตกอยู่ภายใต้บุริมสิทธินี้จึงได้แก่ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ค้างชำระและดอกเบี้ยในราคาที่ค้างชำระนั้น ซึ่งเป็นหนี้ที่ผู้ซื้อจะต้องชำระแก่ผู้ขาย แต่โจทก์เป็นผู้ซื้อห้องชุดพิพาทมิใช่ผู้ขาย และโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดห้องชุดพิพาทก็เพื่อออกขายทอดตลาดชำระหนี้เงินจำนวน 323,988 บาท พร้อมดอกเบี้ยที่จำเลยต้องคืนให้แก่โจทก์ เนื่องจากจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทให้โจทก์ได้ตามคำพิพากษา เงินดังกล่าวหาใช่ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ค้างชำระและดอกเบี้ยในราคาที่ค้างชำระนั้นไม่ โจทก์จึงไม่มีบุริมสิทธิแต่อย่างใด ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share