แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
++ เรื่อง ตั๋วเงิน รับช่วงสิทธิ ++
++
++ ทดสอบการทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++ ย่อข้อกฎหมายอย่างไม่เป็นทางการ
++ พิมพ์จากสำเนาชุดพิเศษ ++
++
++
++ ธนาคารตามเช็คได้มอบเช็คพิพาทให้แก่บริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกค้าประเภทบัญชีกระแสรายวัน จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท ส่วนการที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการที่มีอำนาจได้ลงลายมือชื่อและประทับตราจำเลยที่ 1 ในช่องผู้สั่งจ่าย ก็เป็นไปตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ต้องตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.มาตรา 70 วรรคสอง และมาตรา 900 ต้องถือว่าจำเลยที่ 2ลงลายมือชื่อในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดตามเช็คต่อผู้ทรงเป็นส่วนตัวหากจำเลยที่ 2 กระทำการให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 1 เพราะปฏิบัติหน้าที่บกพร่องก็เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 หรือผู้ถือหุ้นจะใช้สิทธิตามกฎหมายดำเนินการให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 1 ต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ จนกว่าจะชำระเสร็จ คิดดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๘,๗๕๐ บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน ๓๑๘,๗๕๐ บาท
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า โจทก์และจำเลยที่ ๓ ได้คบคิดกันฉ้อฉลนำคดีมาฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เนื่องจากจำเลยที่ ๓ และโจทก์ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจร่วมกันของบริษัทเอเซีย บัตตัน จำกัด ได้เป็นลูกค้าของจำเลยที่ ๑และที่ ๒ มาก่อน เช็คพิพาทดังกล่าวจำเลยที่ ๓ ได้ยืมไปจากจำเลยที่ ๑ โดยไม่มีมูลหนี้ระหว่างกัน และจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ ๑ ได้กระทำการดังกล่าวในวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดในมูลหนี้ดังกล่าวเป็นส่วนตัว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๓๑๘,๗๕๐บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ เป็นบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ ๒และนางอุไรวรรณ ศรีหิรัญพัลลภ เป็นกรรมการ กรรมการคนหนึ่งคนใดลงชื่อและประทับตราสำคัญทำการแทนบริษัทได้ เมื่อประมาณเดือนกันยายน ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๓ได้นำเช็คพิพาทของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนพระรามที่ ๒เช็คเลขที่ ๙๒๗๘๑๘๔ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ จำนวนเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาทมาแลกเงินสดไปจากโจทก์ โดยเช็คดังกล่าวมีจำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายพร้อมกับประทับตราสำคัญของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ ลงลายมือชื่อสลักหลัง ต่อมาวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๓๘ โจทก์นำเช็คพิพาทไปขายลดให้กับธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) สาขาบางแค แต่เมื่อเช็คถึงกำหนดการใช้เงิน ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จึงตัดเงินจากบัญชีโจทก์เพื่อนำไปชำระหนี้ตามเช็คพิพาท พร้อมกับคืนเช็คและใบเช็คคืนให้แก่โจทก์ ทั้งทางนำสืบของโจทก์คงได้ความว่า ธนาคารตามเช็คได้มอบเช็คพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑ซึ่งเป็นลูกค้าประเภทบัญชีกระแสรายวัน จำเลยที่ ๑ สั่งจ่ายเช็คพิพาทแต่ได้แจ้งบอกห้ามการใช้เงินตามเช็คเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ โดยจำเลยที่ ๒ในฐานะกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ เป็นผู้แจ้ง ธนาคารจึงได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโดยเหตุผล “มีคำสั่งให้ระงับการจ่าย” ดังนี้ ตามกฎหมายต้องถือว่าจำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียว เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท ส่วนการที่จำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อของตนและประทับตราจำเลยที่ ๑ ในช่องผู้สั่งจ่าย ก็เป็นไปตามข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ ซึ่งระบุให้กรรมการหนึ่งคนลงลายมือชื่อและประทับตราของจำเลยที่ ๑ กระทำการผูกพันจำเลยที่ ๑ ได้ ปรากฏตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลของจำเลยที่ ๑ เอกสารหมาย จ.๕ และต้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๗๐ วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า “ความประสงค์ของนิติบุคคลย่อมแสดงออกโดยผู้แทนของนิติบุคคล” จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.๒หากไม่อาจเบิกเงินได้เพราะถูกธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน และต้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๐๐ แล้วว่า จำเลยที่ ๒ลงลายมือชื่อในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ ๑ ตามที่ได้จดทะเบียนไว้ ส่วนหากจำเลยที่ ๒กระทำการให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ ๑ เพราะปฏิบัติหน้าที่บกพร่องประการใดก็เป็นกรณีที่จำเลยที่ ๑ หรือผู้ถือหุ้นจะใช้สิทธิตามกฎหมายดำเนินการให้จำเลยที่ ๒ต้องรับผิดต่อจำเลยที่ ๑ ต่อไป
พิพากษายืน.