คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1049/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์อาจนำพยานมาสืบว่าเอกสาร ล.1 ที่จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ออกให้แก่จำเลยในการชำระหนี้ ว่าความจริงโจทก์ออกใบรับเงิน ล.1 ให้จำเลยจริงเพราะจำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์ครบ โดยชำระเป็นเงินสดส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือชำระเป็นเช็ค 2 ฉบับ ซึ่งโจทก์นำไปขึ้นเงินไม่ได้ จึงมาฟ้องให้จำเลยชดใช้ การสืบเช่นนี้ไม่เป็นการสืบแก้ไขเอกสาร เป็นการสืบอธิบายเอกสาร สืบได้.

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๔๙๕ จำเลยได้ทำสัญญาให้โจทก์สั่งซื้อวิทยุยี่ห้อโวบปี้ ๓๐ ชุด รวมทั้งค่าระวางและค่านายหน้าและค่าประกันภัยเป็นเงิน ๓๔,๓๔๐.๔๙ บาท โจทก์ได้จัดการสั่งซื้อให้ตามต้องการ จำเลยได้รับวิทยุไปแล้ว จำเลยวางมัดจำไว้ ๖๕๐๐ บาท หักแล้วจำเลยต้องชำระอีก ๒๗,๘๔๐.๔๙ บาท ต่อมาจำเลยนำเงินสดมาชำระให้ ๘๔๐.๔๙ บาท ที่เหลืออีก ๒๗,๐๐๐ บาท จำเลยได้ออกเช็คให้โจทก์ ๒ ฉบับ โจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้เพราะธนาคารไม่จ่ายเงินให้ ได้ทวงถามจำเลยแล้ว จำเลยไม่ชำระจึงมาฟ้องให้ศาลบังคับจำเลยให้ชำระเงิน ๒๗,๐๐๐ บาทแก่โจทก์พร้อมกับดอกเบี้ย
จำเลยต่อสู้ว่าค่าวิทยุที่สั่งซื้อได้ชำระเสร็จแล้วแต่ ๒๙ ตุลาคม ๒๔๙๕ มีหลักฐานสำเนาใบรับเงินสดส่งมากับคำให้การ และต่อสู้ต่อไปว่าบริษัทจำเลยไม่เคยออกเช็คชำระเงินค่าวิทยุแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นฟังว่าเช็ค ๒ ฉบับตามฟ้องจำเลยออก บังคับให้จำเลยใช้เงิน ๒๗,๐๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน.
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์นำสืบว่าใบรับเงิน ล.๑ ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ได้รับเงินไปหมดแล้วนั้นเป็นของโจทก์ ๆ ได้ออกให้จำเลยจริง แต่เป็นการออกให้ในการที่จำเลยได้ชำระเงินสด ๘๔๐.๔๙ บาทกับเช็ค ๒ ฉบับ ยอดเงิน ๒๗,๐๐๐ บาท ซึ่งไปรับเงินจากธนาคารไม่ได้ และได้มาฟ้องเอาชำระจากจำเลยได้ ไม่เป็นการสืบแก้ไขเอกสาร ถือว่าเป็นการสืบอธิบายเอกสารว่าโ่จทก์ได้รับเงินสด ๘๔๐.๔๙ บาทกับเช็ค ๒ ฉบับ และข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา จึงพิพากษายืน.

Share