คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4564/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

รถยนต์ที่เช่าซื้อถูกยักยอกโดย ก. ซึ่งเป็นผู้ที่ขอยืมรถยนต์จากจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยไปใช้ ทั้งไม่ได้ความว่า ก. เป็นบุคคลที่ได้รับมอบหมายหรือครอบครองรถยนต์ตามสัญญาเช่า สัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาจำนำ หรือโดยบุคคลที่จะกระทำสัญญาดังกล่าว จึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่จำเลยร่วม ผู้รับประกันภัย จะปฏิเสธความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยได้
ตามกรมธรรม์ประกันภัยไม่มีเงื่อนไขข้อใดที่ระบุว่า หากผู้เอาประกันภัยหรือผู้ขับขี่ไม่แจ้งความเสียหายหรือไม่แจ้งเหตุที่ทำให้เกิดความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยให้จำเลยร่วม ผู้รับประกันภัย ทราบในทันที จะทำให้จำเลยร่วมหลุดพ้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย ทั้งการที่จำเลยที่ 1 ไปปรึกษากับพนักงานสอบสวนในเรื่องรถยนต์ถูกยักยอกแล้วไปแจ้งโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อเพื่อให้โจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจแจ้งความดำเนินคดีก็เป็นการดำเนินการอันจำเป็นเพื่อรักษาสิทธิตามกฎหมายของจำเลยที่ 1 ตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวแล้ว ส่วนโจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัย ไม่มีหน้าที่แจ้งเหตุให้จำเลยร่วมทราบ ดังนั้น การที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่ได้แจ้งเหตุรถยนต์ถูกยักยอกไปให้จำเลยร่วมทราบจึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยอันจะเป็นเหตุให้จำเลยร่วมปฏิเสธความรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 468,000 บาท ค่าขาดประโยชน์จากการนำรถยนต์ออกให้เช่าซึ่งจะได้ค่าเช่าเดือนละ 10,200 บาท เป็นเวลา 9 เดือน เป็นเงิน 91,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 31,050 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองชำระค่าขาดประโยชน์วันละ 115 บาท หรือเดือนละ 3,450 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือชดใช้ราคาแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสองยื่นคำขอให้เรียกบริษัทลิเบอร์ตี้ประกันภัย จำกัดเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันกับจำเลยร่วมใช้ราคาเป็นเงิน 468,000 บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 31,050 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 พฤษภาคม 2550) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และร่วมกันชำระค่าเสียหายอีกเดือนละ 3,450 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์หรือใช้ราคาแทนจนเสร็จแต่ไม่เกิน 6 เดือน กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และจำเลยร่วม ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่จำเลยร่วมค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยร่วมว่า จำเลยร่วมต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ข้อต่อสู้เพื่อปฏิเสธความรับผิดของจำเลยร่วมตามกรมธรรม์ประกันภัยหมวดการคุ้มครองรถยนต์สูญหายไฟไหม้ ข้อ 5.1 มีใจความว่า การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครองความสูญหายหรือไฟไหม้อันเกิดจากการลักทรัพย์ หรือยักยอกทรัพย์ โดยบุคคลได้รับมอบหมายหรือครอบครองรถยนต์ตามสัญญาเช่า สัญญาเช่าซื้อ หรือสัญญาจำนำ หรือโดยบุคคลที่จะกระทำสัญญาดังกล่าวข้างต้น แต่กรณีนี้รถยนต์คันพิพาทถูกยักยอกโดยนายเกรียงไกร ซึ่งเป็นผู้ที่ขอยืมรถยนต์จากจำเลยที่ 1 ไปใช้ ทั้งไม่ได้ความว่าเป็นบุคคลที่ได้รับมอบหมายหรือครอบครองรถยนต์ตามสัญญาเช่า สัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาจำนำ หรือโดยบุคคลที่จะกระทำสัญญาดังกล่าวจึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่จำเลยร่วมจะปฏิเสธความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยได้ ส่วนกรณีที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่ได้แจ้งเหตุรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายให้จำเลยร่วมทราบในทันทีนั้น ปรากฏตามกรมธรรม์ประกันภัย หมวดเงื่อนไขทั่วไป ข้อ 3 การจัดการเรียกร้องเมื่อเกิดความเสียหาย มีใจความว่า เมื่อมีความเสียหายหรือความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยเกิดขึ้น ผู้เอาประกันภัยหรือผู้ขับขี่จะต้องแจ้งให้บริษัททราบโดยไม่ชักช้า และดำเนินการอันจำเป็นเพื่อรักษาสิทธิตามกฎหมาย แต่ตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวไม่มีเงื่อนไขข้อใดที่ระบุว่าหากผู้เอาประกันภัยหรือผู้ขับขี่ไม่แจ้งความเสียหายหรือไม่แจ้งเหตุที่ทำให้เกิดความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยให้จำเลยร่วมทราบในทันที จะทำให้จำเลยร่วมหลุดพ้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย ทั้งการที่จำเลยที่ 1 ไปปรึกษากับพนักงานสอบสวนในเรื่องรถยนต์ถูกยักยอกแล้วไปแจ้งโจทก์เพื่อให้ทำหนังสือมอบอำนาจแจ้งความดำเนินคดีก็เป็นการดำเนินการอันจำเป็นเพื่อรักษาสิทธิตามกฎหมายของจำเลยที่ 1 ตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวแล้ว ส่วนโจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัย ไม่มีหน้าที่แจ้งเหตุให้จำเลยร่วมทราบ ดังนั้น การที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่ได้แจ้งเหตุรถยนต์ถูกยักยอกไปให้จำเลยร่วมทราบจึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยอันจะเป็นเหตุให้จำเลยร่วมปฏิเสธความรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share