แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 1 จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ด้วย โดยจำเลยที่ 1 ต้องเอาประกันภัยทรัพย์จำนอง โจทก์ได้ออกเงินทดรองจ่ายเบี้ยประกันแทนจำเลยที่ 1 ไปก่อน หนี้ค่าเบี้ยประกันภัยทรัพย์จำนองเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นจากสัญญาจำนอง จึงไม่เกี่ยวกับหนี้เงินกู้ที่จำเลยที่ 2 ค้ำประกันและหลุดพ้นจากความรับผิดเนื่องจากหนี้ดังกล่าวขาดอายุความ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความรับผิดในหนี้ค่าเบี้ยประกันภัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 22,390,540.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 7,351,580 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 214128 ตำบลบางแก้ว อำเภอบางพลี (พระโขนง) จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 7,351,580 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องย้อนหลังขึ้นไปเป็นเวลาห้าปี และนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 214128 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเบี้ยประกันภัย 3,475.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 30,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วรับฟังได้ว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญากู้ยืมเงินที่พิพาทขาดอายุความ คงพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาจำนองซึ่งยังบังคับได้ 7,351,580 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ย้อนหลังจากวันฟ้องไป 5 ปี และนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป มิฉะนั้นให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 214128 ส่วนจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันหนี้เงินกู้ยืมเป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิดเพราะหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวขาดอายุความแล้ว กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระค่าเบี้ยประกันภัยทรัพย์จำนอง 3,475.36 บาท ที่โจทก์ทดรองจ่ายไปแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยกำหนดค่าทนายความให้จำเลยทั้งสองใช้แทนโจทก์ 50,000 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โดยกำหนดค่าทนายความให้จำเลยทั้งสองใช้แทนโจทก์ 30,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 2 ยื่นฎีกา แต่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ เพราะทุนทรัพย์ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดชำระค่าเบี้ยประกันภัยทรัพย์จำนอง 3,475.36 บาท ที่โจทก์ทดรองจ่ายไปคืนแก่โจทก์ด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า หนี้ประธานที่จำเลยที่ 2 ค้ำประกันคือหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ขาดอายุความฟ้องร้อง จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญานี้และให้จำเลยที่ 2 หลุดพ้นจากความรับผิดไปด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698 แต่หนี้ค่าเบี้ยประกันภัยเป็นหนี้ที่โจทก์อ้างว่าเกิดขึ้นเนื่องจากสัญญาจำนองตามหนังสือต่อท้ายสัญญาจำนอง ข้อ 10 และโจทก์ได้ทดรองจ่ายไปสำหรับการประกันภัยทรัพย์จำนองระหว่างวันที่ 20 มกราคม 2549 ถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2550 จึงไม่เกี่ยวกับหนี้ประธานที่จำเลยที่ 2 ค้ำประกันและหลุดพ้นจากความรับผิดไปแล้วดังกล่าว จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความรับผิดในหนี้เงินค่าเบี้ยประกันภัยจำนวนนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดด้วยไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา แม้จำเลยที่ 2 ไม่ฎีกา แต่ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 เฉพาะในเรื่องขอให้บังคับชำระค่าเบี้ยประกันภัย 3,475.36 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ทั้งสามศาลให้เป็นพับ ให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินค่าเบี้ยประกันภัย 3,475.36 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 20,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1