คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4562/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินที่โจทก์ทั้งสองรับซื้อฝากมาจากจำเลยที่1กับส. เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่าจำเลยที่1ได้ใช้สิทธิขอไถ่การขายฝากในกำหนดและมีสิทธิที่จะจดทะเบียนให้เป็นที่ดินของตนตามเดิมส่วนที่ดินที่เป็นของส. แม้ศาลจะยกฟ้องแย้งของจำเลยที่1ที่ใช้สิทธิขอไถ่การขายฝากจำเลยที่1เป็นเจ้าของร่วมกันส. ส่วนของส. ตกเป็นของโจทก์ที่2จำเลยที่1กับโจทก์ที่2เป็นเจ้าของร่วมกันถือว่ามีสิทธิอยู่ทุกส่วนของที่ดินจนกว่าจะแบ่งแยกกันเป็นส่วนสัดจำเลยทั้งสองอาศัยอยู่ในที่ดินดังกล่าวย่อมไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์จนกว่าจะแบ่งแยกว่าส่วนใดเป็นของโจทก์ที่2หรือจำเลยที่1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2525 โจทก์ที่ 1รับซื้อฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 1765 ตำบลลาดหลุมแก้วอำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี เฉพาะส่วนจากจำเลยที่ 1กำหนดเวลาไถ่คืนใน 2 ปี และวันที่ 7 มกราคม 2526 โจทก์ที่ 2รับซื้อฝากที่ดินโฉนดดังกล่าวเฉพาะส่วนจากนายสมโภชน์ พัดปุย กำหนดเวลาไถ่คืนใน 1 ปี แต่จำเลยที่ 1 และนายสมโภชน์ ไม่ได้ไถ่คืนโจทก์ทั้งสองไม่ประสงค์ให้จำเลยทั้งสองอาศัยและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวต่อไป โจทก์ทั้งสองได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านเลขที่ 28 หมู่ที่ 2 ตำบลลาดหลุมแก้ว อำเภอลาดหลุมแก้วจังหวัดปทุมธานี พร้อมขนย้ายบริวารออกไป แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยหากให้ผู้อื่นเช่าที่ดินจะได้ค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านเลขที่ 28 หมู่ที่ 2 ตำบลลาดหลุมแก้วอำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี พร้อมขนย้ายบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ห้ามเกี่ยวข้องต่อไป และให้จำเลยทั้งสองชำระเงินเดือนละ 5,000 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะออกไปจากที่ดินโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและจำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 และนายสมโภชน์ พัดปุย เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทร่วมกัน โดยการรับมรดกจากนายผ่อน พัดปุย ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 และจำเลยทั้งสองอยู่ในที่ดินพิพาทอย่างเจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่เคยเช่าจากใครจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรื้อถอนบ้านและออกไปจากที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 ขายฝากที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนไว้แก่โจทก์ที่ 1และนายสมโภชน์ขายฝากที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนไว้แก่โจทก์ที่ 2ครบกำหนดไถ่ทรัพย์คืนในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2527และวันที่ 7 มกราคม 2527 ตามลำดับ ครั้นวันที่ 16 ธันวาคม 2526จำเลยทั้งสองและนายสมโภชน์ไปขอไถ่ที่ดินพิพาทในส่วนของนายสมโภชน์แต่โจทก์ทั้งสองไม่ยอมอ้างว่ายังไม่ครบกำหนดเวลาไถ่ ให้ไถ่คืนพร้อมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งครบกำหนดไถ่ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2527 หลังจากนั้นในเดือนพฤษภาคมและวันที่ 1 พฤศจิกายน 2527 จำเลยทั้งสองและนายสมโภชนื ไปขอไถ่ทรัพย์คืนอีกแต่โจทก์ทั้งสองไม่ยอมให้ไถ่จำเลยที่ 1 และนายสมโภชน์ จึงคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามฟ้อง โจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 1 ได้ขอไถ่ที่ดินพิพาทภายในกำหนดแล้วแต่โจทก์ทั้งสองไม่ยอม ขอให้ยกฟ้อง และบังคับให้โจทก์ทั้งสองจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคืนจำเลยที่ 1 และนายสมโภชน์กับรับเงินสินไถ่ 722,000 บาท จากจำเลยที่ 1
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยแสดงเจตนาไถ่ที่ดินพิพาทคืนภายในกำหนด โจทก์ทั้งสองไม่มีหน้าที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 นายสมโภชน์ พัดปุย บุตรชายจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจฟ้องแย้งเนื่องจากเป็นการใช้สิทธิที่มิชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ทั้งสองจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1765 ตำบลลาดหลุมแก้วอำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 1 และเฉพาะส่วนของนายสมโภชน์ พัดปุย ให้แก่จำเลยที่ 1ในฐานะทายาทโดยธรรมของนายสมโภชน์ หากโจทก์ทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา พร้อมกับรับเงินจำนวน 722,000บาท จากจำเลยที่ 1
โจทก์ ทั้ง สอง อุทธรณ์
ก่อนศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ โจทก์ทั้งสองถึงแก่กรรมนางปิยนันท์ แจ่มศิริ ทายาทโจทก์ทั้งสองขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1765 ตำบลลาดหลุมแก้วอำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 1 พร้อมกับรับเงินจำนวน 546,000 บาท จากจำเลยที่ 1ส่วนคำขอตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ที่ให้โจทก์ที่ 2 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของนายสมโภชน์ บุตรจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 1 นั้นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นรับรองฎีกาของจำเลยทั้งสองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และนายสมโภชน์ พัดปุย มีกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1ขายฝากที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ที่ 1 ในราคา546,000 บาท เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2525 มีกำหนด 2 ปี ส่วนนายสมโภชน์ขายฝากที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ที่ 2 ในราคา176,800 บาท เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2526 มีกำหนด 1 ปี จำเลยทั้งสองได้ทำกินในที่ดินพิพาทตลอดมา หลังจากครบกำหนดไถ่ถอนการขายฝากโจทก์ทั้งสองบอกให้จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาท แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมออกไป
คดีนี้โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจะได้รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสองก่อน ตามฎีกาเบื้องต้น ระบุชื่อจำเลยทั้งสองผู้ยื่นฎีกา แต่ข้อความในฎีกาเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 บางส่วน จึงเป็นฎีกาของจำเลยที่ 1โดยเฉพาะ ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้รับเป็นฎีกาของจำเลยที่ 2 มาด้วยจึงไม่ชอบ ให้ยกฎีกาของจำเลยที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 1 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 เป็นมารดานายสมโภชน์ ชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 เบิกความว่านายสมโภชน์ถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยที่ 1 มีสิทธิรับมรดกของนายสมโภชน์ จึงมีอำนาจฟ้องให้โจทก์ทั้งสองโอนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของนายสมโภชน์ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะทายาทโดยธรรมของนายสมโภชน์ ได้นั้น เห็นว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 เป็นการฟ้องส่วนตัวของจำเลยที่ 1 เอง มิได้ฟ้องในฐานะเป็นทายาทโดยธรรมของนายสมโภชน์ ซึ่งเป็นคนละฐานะกัน สิทธิของจำเลยที่ 1 จะมีเพียงใดก็ต้องอาศัยคำบรรยายฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 บรรยายฟ้องมาเป็นเรื่องส่วนตัวจำเลยที่ 1 แต่ขอให้ศาลบังคับให้โจทก์ทั้งสองโอนที่ดินพิพาทให้นายสมโภชน์ โดยไม่บรรยายฟ้องให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิที่จะทำการแทนนายสมโภชน์ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องแย้งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทในส่วนของนายสมโภชน์
ส่วนฎีกาโจทก์ซึ่งจะได้วินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยที่ 1 ได้ใช้สิทธิไถ่ถอนครบกำหนดการขายฝากและจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้งสองอ้างว่ามีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทเพราะจำเลยที่ 1 ได้ขอไถ่คืนภายในกำหนดเวลาขายฝาก แต่โจทก์ที่ 1ไม่ยอมให้ไถ่ ที่ดินพิพาทจึงไม่ตกเป็นของโจทก์ที่ 1 โดยจำเลยทั้งสองมีตัวจำเลยทั้งสอง นางวันเพ็ญ กระจับเงิน นางสมพร รุนเฉื่อยนายสมพงษ์ พัดปุย และนางสาวยุพิน พัดปุย เบิกความตรงกันว่าจำเลยที่ 1 ได้ไปขอไถ่ถอนการขายฝากที่ดินพิพาทจากโจทก์ที่ 1ภายในกำหนด แต่โจทก์ที่ 1 ไม่ยอมให้ไถ่ ในการขอไถ่ที่ดินพิพาทนายสมพงษ์ เบิกความว่าได้ยืมเงินของนางประทีป อึ้งทรงธรรมและผู้อื่นอีกหลายคน และนางประทีเบิกความว่านายสมพงษ์เคยยืมเงินจะเอาไปไถ่การขายฝาก แต่ทราบว่าไม่ได้ไถ่ ส่วนโจทก์มีตัวโจทก์ทั้งสองเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยแสดงเจตนาจะไถ่การขายฝากภายในกำหนดเวลาเลย จำเลยที่ 1 เพิ่งมาขอไถ่การขายฝากเมื่อปี 2532 ขณะนั้นราคาที่ดินพิพาทสูงมากแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นว่าพยานจำเลยที่ 1 น่าเชื่อถือกว่าพยานโจทก์ชอบแล้ว และศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 นำสืบ ว่า จำเลยที่ 1 ได้ใช้สิทธิขอไถ่การขายฝากภายในกำหนดเวลา จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิที่จะไถ่การขายฝาก และจดทะเบียนให้เป็นที่ดินของจำเลยที่ 1 เมื่อได้ชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ 1 เรียบร้อย และที่ดินส่วนที่เป็นของนายสมโภชน์แม้ศาลจะยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของร่วมกันกับนายสมโภชน์ ส่วนของนายสมโภชน์ตกเป็นของโจทก์ที่ 2 จำเลยที่ 1กับโจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของร่วมกัน ถือว่ามีสิทธิอยู่ทุกส่วนของที่ดินจนกว่าจะแบ่งแยกกันเป็นส่วนสัดจำเลยทั้งสองอาศัยอยู่ในที่ดินที่จำเลยที่ 1 ซึ่งมีสิทธิจะไถ่การขายฝากบางส่วนย่อมไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์จนกว่าจะแบ่งแยกว่าส่วนไหนเป็นของโจทก์ที่ 2หรือจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสอง
พิพากษายืน

Share