คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2079/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.ที่ดิน มาตรา 108,108 ทวิและ ป.อ. 368 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่ามีความผิดตาม ป.ที่ดินมาตรา 108 ทวิ และ ป.อ. มาตรา 368 มีผลเท่ากับว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในข้อหาความผิดตาม ป.ที่ดิน มาตรา 108 แล้ว เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ ข้อหาความผิดดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.ที่ดิน มาตรา 108จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรก ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15และที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.ที่ดิน มาตรา 108 ทวิ โดยกล่าวในฎีกาเพียงว่าขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมิได้กล่าวว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม ป.ที่ดิน มาตรา 108 ทวิ เพราะเหตุใดก็เป็นฎีกาที่ไม่แจ้งชัดต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติมาตราทั้งสองดังกล่าวเช่นกัน ตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 3(พ.ศ. 2515) ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการแจ้งและออกคำสั่งแก่ผู้ฝ่าฝืนมาตรา 9 แห่ง ป.ที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประกาศของคณะปฏิบัติฉบับที่ 96ใช้บังคับกำหนดให้เจ้าหน้าที่ผู้นำส่งหนังสือแจ้งบันทึกเหตุการณ์และเหตุผลในการไม่ยอมรับหนังสือแจ้งไว้ แต่ตามบันทึกข้อความของเจ้าหน้าที่ผู้นำหนังสือแจ้งและคำสั่งให้ออกจากที่ดินไปส่งแก่จำเลยนอกจากจะไม่ปรากฏเหตุผลที่ผู้ฝ่าฝืนไม่ยอมรับหนังสือแจ้งแล้วยังไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ผู้นำส่งได้สอบถามเหตุผลเอาจากผู้ฝ่าฝืนแล้วบันทึกไว้ บันทึกข้อความนั้นจึงยังไม่ถูกต้องครบถ้วน จะถือว่าจำเลยได้รับหนังสือแจ้งอันเป็นคำสั่งเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้และทราบคำสั่งนั้นแล้วหาได้ไม่ จำเลยจึงยังไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 368 และ ป.ที่ดิน มาตรา 108.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งเจ็ดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9, 108, 108 ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่29 กุมภาพันธ์ 2515 ข้อ 11 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 และให้จำเลยทั้งเจ็ดและบริวารของจำเลยทั้งหมดออกจากที่ดินที่เข้าไปยึดถือครอบครอง
จำเลยทั้งเจ็ดให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้จำคุกคนละ 6 เดือน จำเลยที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ อันเป็นบทหนัก ให้จำคุกจำเลยที่ 6 มีกำหนด 6 เดือน ให้จำเลยที่ 6 และบริวารทั้งหมดออกจากที่ดินที่เข้ายึดถือครอบครอง
จำเลยทั้งเจ็ดอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำเลยที่ 3 ถึงแก่ความตายศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 3 แล้ว
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับจำเลยที่ 6 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108, 108 ทวิ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 108 ทวิ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 ซึ่งมีผลเท่ากับว่าศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 6 ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 แล้ว เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ ข้อหาความผิดดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ไม่อาจฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 6 ในข้อหาความผิดนั้นได้อีก ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 6 ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 6 ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 108 ทวิ โจทก์ก็กล่าวในฎีกาเพียงว่า ขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเท่านั้น มิได้กล่าวว่าการกระทำของจำเลยที่ 6 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ เพราะเหตุใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่แจ้งชัด ต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติมาตราทั้งสองดังกล่าวเช่นกันศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คดีคงมีปัญหาในชั้นฎีกาเพียงว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368หรือไม่ และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 หรือไม่ เท่านั้น
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า การนำส่งหนังสือแจ้งและมีคำสั่งให้จำเลยออกจากที่ดินดังกล่าวถูกต้อง จำเลยทราบคำสั่งนั้นแล้วหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายขันชัย ชัยจันทร์เป็นเจ้าหน้าที่ผู้นำหนังสือแจ้งและคำสั่งให้ออกจากที่ดินไปส่งให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 7 แต่จำเลยดังกล่าวไม่ยอมรับนายขันชัยจึงได้ทำบันทึกข้อความไว้ปรากฏตามเอกสารหมาย ป.จ.1 และป.จ.2 ตามลำดับ ศาลฎีกาได้ตรวจดูเอกสารหมาย ป.จ.1 และ ป.จ.2แล้วไม่ปรากฏว่ามีบันทึกเหตุผลของการที่ผู้บุกรุกหรือฝ่าฝืนคำสั่งไม่ยอมรับหนังสือแจ้วไว้แต่อย่างใด ใช่จำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 ถึงที่ 7 เป็นผู้ฝ่าฝืนมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินหรือไม่ ก็ไม่ปรากฏในบันทึกดังกล่าว ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าจำเป็นที่เจ้าหน้าที่ผู้นำส่งหนังสือแจ้งและคำสั่งให้ออกจากที่ดินจะต้องบันทึกให้ปรากฏไว้เป็นหลักฐานว่าเป็นการส่งให้แก่จำเลยดังกล่าวซึ่งเจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตราดังกล่าวอย่างแท้จริง ตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2515) ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการแจ้งและออกคำสั่งแก่ผู้ฝ่าฝืนมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2515ใช้บังคับ ในหมวด 2 การแจ้งและมีคำสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนออกจากที่ดินของรัฐกำหนดไว้ในข้อ 7 ซึ่งสำหรับกรณีที่เจ้าหน้าที่นำไปส่งให้ปฏิบัติเกี่ยวกับกรณีที่ผู้ฝ่าฝืนไม่ยอมลงชื่อรับหนังสือแจ้งในใบรับ ดังนี้คือ ให้เจ้าหน้าที่ผู้นำส่งหนังสือแจ้งบันทึกเหตุการณ์และเหตุผลในการไม่ยอมรับหนังสือแจ้งไว้ และให้มีพยานอย่างน้อย 2 คน ลงชื่อรับรองไว้ในบันทึกนั้นด้วย เมื่อผู้นำส่งหนังสือแจ้งได้ปฏิบัติการดังกล่าวนั้นแล้ว ให้ถือว่าผู้ฝ่าฝืนได้รับหนังสือแจ้งแล้ว แต่ตามบันทึกข้อความเอกสารหมาย ป.จ.1และ ป.จ.2 นอกจากจะไม่ปรากฏเหตุผลที่ผู้ฝ่าฝืนไม่ยอมรับหนังสือแจ้งแล้ว ยังไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ผู้นำส่งหนังสือได้สอบถามเหตุผลเอาจากผู้ฝ่าฝืนแล้วบันทึกไว้แต่อย่างใด อีกทั้งหากผู้ฝ่าฝืนไม่ยอมแจ้งเหตุผลก็ชอบที่เจ้าหน้าที่จะจดแจ้งข้อความว่าผู้ฝ่าฝืนไม่ยอมแจ้งเหตุผลให้ปรากฏไว้ แต่ก็หาได้ปรากฏเช่นนั้นไม่ โดยเฉพาะไม่ปรากฏว่าเอกสารหมาย ป.จ.1 และ ป.จ.2 เป็นเอกสารที่อ้างอิงเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 7 ว่าเป็นผู้เข้าไปยึดถือครอบครองก่อสร้างที่ดินของรัฐ อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินแต่อย่างใด ศาลฎีกาได้พิเคราะห์โดยตระหนักแล้ว เห็นว่า บันทึกทั้งสองฉบับ ตามเอกสารหมาย ป.จ.1และ ป.จ.2 ยังไม่ถูกต้องครบถ้วนตามที่ระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติดังกล่าวกำหนดให้เจ้าหน้าที่ผู้นำส่งหนังสือแจ้งและคำสั่งให้ออกจากที่ดินต้องปฏิบัติ ดังนั้น จะถือว่าจำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 7 ได้รับหนังสือแจ้งอันเป็นคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้และทราบคำสั่งนั้นแล้วหาได้ไม่ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 7 จึงยังไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4ที่ 5 และที่ 7 ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108”
พิพากษายืน.

Share