แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์ ต่อมาโจทก์จำเลยทำสัญญาเช่ากันขึ้นฉบับหนึ่งโดยไม่มีการตกลงในเรื่องค่าเช่า แสดงว่าโจทก์จำเลยมิได้ประสงค์ให้หนังสือสัญญาดังกล่าวผูกพันกันในลักษณะเช่าแต่เป็นการทำสัญญาเพื่อรับรู้สิทธิของโจทก์ในที่ดิน การที่จำเลยครอบครองที่ดินโดยรับรู้ถึงสิทธิของโจทก์ดังกล่าว จึงเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ มิใช่ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ แม้ครอบครองนานเพียงใดจำเลยก็หาได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ไม่ และที่โจทก์ฟ้องอ้างว่าสัญญาเช่าระงับไปแล้วขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปถือเป็นเรื่องเรียกทรัพย์คืน ไม่ใช่ฟ้องบังคับตามสัญญาเช่า และไม่ต้องอาศัยหนังสือเช่า การที่ศาลฟังว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยสัญญาเช่าที่ทำขึ้นเพื่อรับรู้สิทธิของโจทก์ จำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ก็เป็นการวินิจฉัยว่า ที่ดินเป็นของโจทก์ตามฟ้องนั่นเอง ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง ศาลจึงพิพากษาให้ขับไล่จำเลย และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่ดินที่เช่า จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ไม่เคยเช่าที่ดิน จำเลยทั้งสองต่างครอบครองที่ดินตามฟ้องได้กรรมสิทธิ์ ขอให้พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน 16 ตารางวาและ 40 ตารางวา ตามลำดับ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทและยกฟ้องแย้งจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่าจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 เพื่อเป็นการรับรู้ถึงสิทธิของโจทก์ในที่พิพาทหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความว่า เมื่อมารดาโจทก์ถึงแก่กรรมได้ให้จำเลยมาทำสัญญาเช่าที่ดินกับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.2 จ.3 ในสัญญาไม่ระบุค่าเช่าและโจทก์ไม่ได้เก็บค่าเช่า เหตุที่ทำสัญญาเพื่อป้องกันไม่ให้จำเลยโกงเท่านั้นมีนายชิน คล้ายคลึง ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้เขียนสัญญา ซึ่งนายชินก็มาเบิกความรับรอง และว่าได้อ่านสัญญาให้จำเลยทั้งสองฟังแล้วให้จำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไว้ นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายบุญส่งรื่นชล มาเบิกความสนับสนุนว่าได้รู้เห็นการทำสัญญาเช่า 2 ฉบับนี้โดยลงลายมือชื่อเป็นพยานด้วย พยานโจทก์ต่างเบิกความประกอบเอกสารหมาย จ.2 จ.3 สอดคล้องต้องกัน นายชินพยานโจทก์เป็นผู้ใหญ่บ้านและเป็นผู้เขียนสัญญา ไม่มีเหตุน่าระแวงสงสัยว่าจะเบิกความบิดเบือนความจริง เห็นว่า พยานโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าโจทก์จำเลยทำสัญญาหมาย จ.2 จ.3 โดยรู้ว่าเป็นสัญญาเช่า และการที่ไม่ได้มีการตกลงเรื่องค่าเช่ากันแสดงว่าคู่กรณีมิได้ประสงค์จะผูกพันกันในลักษณะสัญญาเช่า แต่ทำไว้เพื่อกันจำเลยโกงดังโจทก์อ้าง ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าเป็นการกู้เงินกันแล้วโจทก์ให้ลงชื่อในสัญญาโดยไม่ทราบว่าเป็นสัญญาเช่านั้นจำเลยไม่มีพยานอื่นสนับสนุน ตัวจำเลยที่ 1 เองก็มิได้มาเบิกความ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานจำเลย กรณีฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองทำสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 เพื่อเป็นการรับรู้ถึงสิทธิของโจทก์ในที่พิพาท ส่วนปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทหรือไม่ เห็นว่า เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองครอบครองที่พิพาทโดยทำสัญญาเช่าเป็นการรับรู้ถึงสิทธิของโจทก์ไว้ ก็เป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ มิใช่ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ แม้นานเพียงใดจำเลยก็หาได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ไม่ ที่พิพาทเป็นของโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยทั้งสองอยู่ต่อไปโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองออกไปจากที่พิพาทได้ ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาเช่า เมื่อฟังไม่ได้ว่าสัญญาที่ทำไว้เป็นสัญญาเช่าก็เท่ากับไม่มีสัญญาเช่า โจทก์จะมาฟ้องร้องบังคับคดีแก่จำเลยมิได้นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าสัญญาเช่าระงับไปแล้วจำเลยไม่ยอมรื้อบ้านออกไป ขอให้ขับไล่ ย่อมเป็นเรื่องเรียกทรัพย์คืน โจทก์มิได้ฟ้องบังคับตามสัญญาเช่า จึงหาต้องอาศัยหนังสือสัญญาเช่าไม่ทั้งการที่ศาลฟังว่าจำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยสัญญาเช่าที่ทำขึ้นเพื่อรับรู้สิทธิของโจทก์ จำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ก็เป็นการวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ตามฟ้องนั่นเอง หาเป็นการนอกฟ้องดังจำเลยอ้างไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและยกฟ้องแย้งของจำเลยเสีย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน