คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4555/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เบี้ยปรับของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสืบเนื่องมาจากลูกหนี้มีรายได้จากการขายบ้านและที่ดินแต่มิได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี2530เบี้ยปรับดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นเงินภาษีที่เกิดขึ้นพร้อมกับหนี้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซึ่งลูกหนี้จะต้องยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี2530ตามประมวลรัษฎากรมาตรา56,57จัตวาเมื่อเจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็ย่อมมีสิทธิได้รับชำระหนี้เบี้ยปรับด้วยแม้เจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการประเมินไปยังลูกหนี้ภายหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้แต่เมื่อมูลหนี้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและเบี้ยปรับได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เจ้าหนี้จึงมีสิทธิได้รับชำระเบี้ยปรับด้วย การที่ลูกหนี้ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา19,23มีผลเพียงทำให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินเงินภาษีอากรตามที่รู้เห็นว่าถูกต้องและแจ้งจำนวนภาษีอากรไปยังผู้ต้องเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรมาตรา25,49หาทำให้เงินเบี้ยปรับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อลูกหนี้ไม่ไปพบเจ้าพนักงานประเมินตามหมายเรียกไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้(จำเลย) เด็ดขาดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2534 เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าประจำปี 2530รวมเป็นเงิน 11,614,732 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้รายละเอียดปรากฏตามบัญชีท้ายคำขอรับชำระหนี้ และเอกสารที่เจ้าหนี้อ้างส่ง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 104 แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วฟังว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2530 ที่ลูกหนี้จะต้องชำระเป็นเงินรวม 4,286,383.47 บาท ส่วนเบี้ยปรับอีกสองเท่าของจำนวนภาษีอากรตามแบบ ภ.ง.ด.12 ข้อ 10 เจ้าหนี้ได้ส่งหนังสือแจ้งการประเมินภาษีให้ลูกหนี้เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2534ซึ่งเป็นวันเวลาภายหลังจากลูกหนี้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้วจึงเป็นหนี้ที่ไม่อาจขอรับชำระหนี้ได้ตามมาตรา 100แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่พิจารณาให้ เจ้าหนี้ขอมา 10,076,030 บาท จึงขอมาเกิน5,789,646.53 บาท ส่วนภาษีการค้าประจำปี 2530 เจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้เป็นเงิน 1,508,040.03 บาท แต่เจ้าหนี้ขอมา1,538,702 บาท จึงขอมาเกิน 30,661.93 บาท เห็นสมควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้ทั้งสองจำนวนรวมเป็นเงิน 5,794,423.54 บาทจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามมาตรา 130(8) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ส่วนที่ขอเกินมาให้ยกเสีย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้อุทธรณ์เฉพาะเรื่องเบี้ยปรับของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
เจ้าหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า เมื่อปี 2530 ลูกหนี้ได้ขายบ้านและที่ดินรวม 22 โฉนดเป็นเงินทั้งสิ้น 10,619,060 บาท และไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีประจำปี 2530 เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2534 เจ้าพนักงานประเมินของเจ้าหนี้ได้ออกหมายเรียกให้ลูกหนี้ไปให้ถ้อยคำชี้แจงประกอบการตรวจสอบไต่สวนและให้ส่งมอบเอกสารประกอบการลงบัญชีหลักฐานการเสียภาษีเพื่อทำการตรวจสอบ แต่ลูกหนี้เพิกเฉย ต่อมาวันที่ 12 มิถุนายน 2534 เจ้าพนักงานประเมินของเจ้าหนี้ได้แจ้งการประเมินภาษีเงินได้ประจำปี 2530 แก่ลูกหนี้ ปรากฎรายละเอียดตามเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.6 ตามลำดับ คดีมีปัญหาตามฎีกาของเจ้าหนี้เฉพาะส่วนเบี้ยปรับของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาว่า เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้หรือไม่ เพียงใด พิเคราะห์แล้ว เบี้ยปรับของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่เจ้าหนี้ฎีกาขอให้ได้รับชำระหนี้เพิ่มเติมจำนวน 5,629,885.88 บาท สืบเนื่องมาจากลูกหนี้มีรายได้จากการขายบ้านและที่ดินในปี 2530 จำนวน 10,619,060 บาทแต่มิได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2530เบี้ยปรับดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นเงินภาษีที่เกิดขึ้นพร้อมกับหนี้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซึ่งลูกหนี้จะต้องยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2530 ทั้งนี้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 56, 57 จัตวา เมื่อเจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็ย่อมมีสิทธิได้รับชำระหนี้เบี้ยปรับด้วยแม้ว่าเจ้าพนักงานประเมินจะได้แจ้งการประเมินไปยังลูกหนี้ภายหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้แต่เมื่อมูลหนี้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและเบี้ยปรับได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ เจ้าหนี้จึงมีสิทธิได้รับชำระเบี้ยปรับจำนวน 5,629,885.88 บาทด้วย ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเงินเบี้ยปรับเกิดขึ้นจากการที่ลูกหนี้ไม่ไปพบเจ้าพนักงานประเมินตามนัดซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้แล้วนั้น เห็นว่าการที่ลูกหนี้ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา 19, 23 ในกรณีเช่นนี้มีผลเพียงทำให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินเงินภาษีอากรตามที่รู้เห็นว่าถูกต้องและแจ้งจำนวนภาษีอากรไปยังผู้ต้องเสียภาษีอากรเท่านั้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 25, 49 หาทำให้เงินเบี้ยปรับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อลูกหนี้ไม่ไปพบเจ้าพนักงานประเมินตามหมายเรียกแต่อย่างใดไม่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เบี้ยปรับของเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจำนวน 5,629,885.88 บาท อีกส่วนหนึ่งด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share