คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4546/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีที่บริษัทจะฟ้องร้องเรียกเอาสินไหมทดแทนแก่กรรมการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169วรรคแรกนั้น จะต้องเป็นกรณีที่กรรมการทำให้เกิดเสียหายแก่บริษัท และความเสียหายดังกล่าวจะต้องเป็นผลโดยตรงจากการกระทำหรืองดเว้นในสิ่งที่ควรกระทำ เมื่อความเสียหายเกิดจากการที่ ส. ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกแก๊สด้วยความประมาทเลินเล่อทำให้รถพลิกคว่ำ แม้ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะรถบรรทุกแก๊สมีสภาพและอุปกรณ์ไม่ถูกต้องก็เป็นเพียงเหตุประการหนึ่งที่ทำให้ได้รับผลร้ายแรงเท่านั้น แต่การที่รถบรรทุกแก๊สมีสภาพและอุปกรณ์ไม่ถูกต้องนั้น มิใช่ผลโดยตรงของความเสียหาย หากจะเป็นความผิดกฎหมายก็เป็นความผิดกฎหมายในส่วนของการที่นำรถยนต์มาใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่บริษัทจำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2ถึงที่ 5 กรรมการบริษัทชดใช้ค่าเสียหาย ดังนั้นโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ในมูลละเมิดของบริษัท จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ชดใช้ค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 วรรคสอง ได้ ค่าสินไหมทดแทนในมูลละเมิดจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4385 บัญญัติให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดซึ่งการจะรับฟังพยานหลักฐานของฝ่ายใดว่ามีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่ากันก็ต้องพิจารณาจากข้อนำสืบของทั้งสองฝ่ายเมื่อโจทก์ไม่อาจนำสืบในรายละเอียดแห่งทรัพย์สินและราคาทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายได้ ศาลจึงกำหนดค่าเสียหายให้ตามสมควร ตามเอกสารสัญญาเช่ามิได้ให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะนำทรัพย์สินที่เช่าไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงหรือโอนสิทธิการเช่าได้ตามที่ระบุไว้ในข้อ 10 แห่งเอกสารดังกล่าว สิทธิของโจทก์ที่จะได้รับเงินค่าโอนสิทธิการเช่ามีอยู่อย่างไร โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าหากโจทก์โอนสิทธิการเช่าให้ผู้อื่นผู้ให้เช่าจะต้องยินยอมให้โจทก์โอนได้โดยไม่อาจปฏิเสธได้หรือไม่ ค่าเสียหายอันเกิดจากค่าเสียโอกาสที่โจทก์จะได้รับประโยชน์จากอาคารที่เช่าอยู่ หากโจทก์โอนสิทธิการเช่าให้ผู้อื่นจึงเป็นความเสียหายที่ไกลกว่าเหตุ เงินที่โจทก์จ่ายให้ผู้เช่าล่วงหน้าจำนวน 150,000 บาทเป็นความเสียหายส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการละเมิดของ ส.ลูกจ้างจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงจะต้องรับผิดชอบชดใช้ให้แก่โจทก์ แต่เงินจำนวน 150,000 บาท ดังกล่าวนั้น ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าเป็นค่าตอบแทนการเช่าระยะเวลา 3 ปีเมื่อโจทก์ได้ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าเป็นเวลา8 เดือนเศษ ค่าเสียหายในส่วนนี้จึงสมควรกำหนดให้ลดลงตามส่วน และศาลมีอำนาจที่จะวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 โดยลดให้เหลือ120,000 บาท หลังจากโจทก์ย้ายเข้ามาอยู่ในตึกแถวที่เช่าแล้วโจทก์ได้ซ่อมแซมและต่อเติมอาคารหลายอย่าง เพื่อใช้ประกอบธุรกิจและพักอาศัย แต่ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องในส่วนนี้จำนวน 800,000 บาท นั้น โจทก์มิได้นำสืบให้ชัดว่าสิ่งที่โจทก์หรือภรรยาโจทก์ได้กระทำไปมีรายละเอียดในเรื่องค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการนั้นอย่างไรบ้าง ศาลจึงกำหนดตามที่เห็นสมควรเพียง 600,000 บาท ได้ การรับจ้างแปลเอกสารเป็นธุรกิจของห้างหุ้นส่วนจำกัดว. ซึ่งเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1015 แม้โจทก์จะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างดังกล่าวก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะส่วนตัวโดยที่ห้างหุ้นส่วนนั้นมิได้ร่วมเป็นโจทก์ด้วย ค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองตึกแถวสามชั้นเลขที่ 1150 โดยเช่าจากนายพิสัย แสงขำ โจทก์ใช้ตึกแถวชั้นล่างเป็นสถานที่ประกอบการค้ารับจ้างทำบัญชีและแปลเอกสารชั้นสองรับฝากสินค้าจากบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ชั้นสามเป็นที่พักผ่อนหลับนอน จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการเก็บรักษาขนส่งขาย หรือจำหน่ายแก๊สปิโตรเลียมมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทน มีหน้าที่ควบคุมดูแลการประกอบกิจการต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 28 ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2514 และประกาศกรมโยธาธิการเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการติดตั้งถังขนส่งแก๊สและลักษณะและส่วนประกอบภายในถังขนส่งแก๊ส จำเลยทั้งห้าจะต้องติดตั้งถังขนส่งแก๊สบนยานพาหนะขนส่งแก๊สทางบกที่มีการติดตั้งอุปกรณ์นิรภัย และขนาดบรรจุแก๊สให้ถูกต้องตามประกาศของกรมโยธาธิการที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในข้อ 48 และ49 วรรคสอง แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2529) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 28 ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2514 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะต้องใช้รถบรรทุกในการขนส่งแก๊สปิโตรเลียมให้ถูกต้องตามกฎหมายดังกล่าว รถบรรทุกแก๊สและอุปกรณ์ต่าง ๆ ต้องมีสภาพดีและปลอดภัยในการขนส่งตลอดจนต้องผ่านการตรวจสอบของพนักงานเจ้าหน้าที่และต้องได้รับใบอนุญาตก่อนที่จะนำรถยนต์ดังกล่าวมาใช้ในการขนส่ง จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 71-0415กรุงเทพมหานคร และเป็นนายจ้างของนายสุทัน ฟักแคเล็กหรือฝักแคเล็ก จำเลยทั้งห้าเป็นผู้ควบคุมและครอบครองรถยนต์ ซึ่งเมื่อบรรจุแก๊สเพื่อขนส่งจึงเป็นทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายโดยสภาพและความมุ่งหมายที่จะใช้เพื่อขนส่ง และได้รู้หรือควรรู้ว่ารถยนต์ไม่เหมาะสมจะนำมาใช้ในการขนส่งแก๊สเพราะมีสภาพไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีระบบกลอุปกรณ์นิรภัย ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบของพนักงานเจ้าหน้าที่และไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในการขนส่งแก๊ส จำเลยทั้งห้ายังนำรถยนต์ใช้ในการขนส่งแก๊สปิโตรเลียม จึงเป็นการกระทำโดยจงใจที่จะฝ่าฝืนและละเมิดต่อกฎหมาย เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2533 จำเลยทั้งห้าจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการใช้รถยนต์ขนส่งแก๊สโดยมอบหมายให้นายสุทันขับรถยนต์ดังกล่าวเพื่อทำการขนส่งในทางการที่จ้าง นายสุทันได้ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง กล่าวคือนายสุทันขับรถยนต์บรรทุกแก๊สมาทางช่องลงทางด่วนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ด้วยความเร็วสูงรถพลิกคว่ำถังแก๊สซึ่งบรรจุแก๊สปิโตรเลียมเหลวหลุดออกจากตัวรถยนต์และไม่มีวาล์วป้องกันการรั่วไหลออกมา จนเกิดเหตุระเบิดขึ้น ทำให้เกิดเพลิงไหม้ไปทั่วบริเวณทางลงจากทางด่วนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ และทำให้ตึกแถวเลขที่ 1150 ที่โจทก์เป็นผู้ครอบครองได้รับความเสียหาย ทำให้สัญญาเช่าของโจทก์ระงับลงต้องสูญเสียสิทธิการเช่าที่จ่ายให้นายพิสัยไปล่วงหน้าจำนวน 150,000 บาท ค่าตกแต่งหน้าร้านกับชั้นที่สองและชั้นที่สามจำนวน 800,000 บาท สูญเสียอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงานเป็นเงิน600,000 บาท เครื่องครุภัณฑ์เป็นเงิน 50,000 บาท ค่าอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกที่ติดตั้งในชั้นสาม จำนวน 600,000 บาทต้องใช้ราคาสินค้าที่รับฝากไว้กับบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ที่เก็บไว้ที่ชั้นสองเป็นเงิน 850,000 บาท ต้องขาดรายได้ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2533 จากการปิดกิจการรับแปลเอกสารและอื่น ๆจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 ปี โจทก์ขอคิดเดือนละ 100,000 บาทรวมเป็นเงิน 1,200,000 บาท โจทก์ต้องขาดโอกาสในการแสวงหาผลประโยชน์จากตึกแถวที่เช่าอยู่ ถ้าโจทก์โอนสิทธิการเช่าให้แก่ผู้อื่น โจทก์สามารถมีรายได้จำนวน 1,000,000 บาท ต้องขาดรายได้จากการที่ให้ผู้อื่นเช่าชั้นสองเดือนละ 20,000 บาทเป็นเวลา 27 เดือน เป็นเงิน 540,000 บาท รวมค่าเสียหายทั้งหมด5,790,000 บาท จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างของนายสุทันต้องร่วมรับผิดในการทำละเมิดของลูกจ้างที่ได้กระทำไปในทางการจ้างจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ในฐานะกรรมการของจำเลยที่ 1 จึงตกเป็นผู้ร่วมกระทำละเมิดหรือเป็นผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทำละเมิดต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ในฐานะส่วนตัวหรือหากศาลเห็นว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ไม่ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดในฐานะส่วนตัว แต่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัว เพราะจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ในฐานะกรรมการจำเลยที่ 1 ได้กระทำการหรืองดเว้นจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ขัดขืนหรือเพิกเฉยไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์จึงขอให้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ในนามของโจทก์ เรียกให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 รับผิดในฐานะส่วนตัว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233 และ 1169 ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน5,790,000 บาท แก่โจทก์ และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันฟ้องจนถึงวันที่ชำระเสร็จ
จำเลยทั้งห้าให้การว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 ในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้ใช้ความระมัดระวังในการประกอบกิจการของจำเลยที่ 1 ในการเก็บ รักษา ขนส่ง จำหน่ายแก๊สปิโตรเลียมอย่างบุคคลผู้ค้าในกิจการดังกล่าวรถบรรทุกแก๊สหมายเลขทะเบียน 71-0415 กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 1 อยู่ในสภาพที่เหมาะสมในการขนส่งแก๊ส มีสภาพและระบบอุปกรณ์นิรภัยครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ได้รับอนุญาตให้ใช้ประกอบการขนส่งจากกรมการขนส่งทางบก จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มิได้กระทำให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่อาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้ และเหตุละเมิดที่โจทก์กล่าวอ้าง มิใช่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมฟ้องร้องจำเลยที่ 2ถึงที่ 5 ให้รับผิดในฐานะส่วนตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1169 หรือจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ละเลยไม่เตือนจำเลยที่ 1ให้รู้ถึงอันตรายแห่งความเสียหายซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่รู้หรือไม่อาจรู้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ให้รับผิดในฐานะส่วนตัวเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2533 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มิได้เป็นผู้มอบหมายหรือจ้างวานใช้ให้นายสุทัน ฝักแคเล็ก ขับรถบรรทุกแก๊สปิโตรเลียม หมายเลขทะเบียน 71-0415 กรุงเทพมหานคร เหตุเกิดเนื่องจากนายสุทันขับรถบรรทุกแก๊สมาตามทางด่วนลงสู่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ด้วยความเร็วตามปกติเพื่อเลี้ยวขวามุ่งหน้าสู่ถนนเพชรบุรี แต่มีรถกระบะหมายเลขทะเบียน ม-3157 ชลบุรีซึ่งวิ่งอยู่ในถนนเพชรบุรีตัดใหม่มุ่งหน้าไปทางถนนเพชรบุรีในช่องทางเดินรถที่มีสัญญาณไฟให้ตรงไปได้ แต่รถกระบะดังกล่าวขับแซงรถยนต์คันอื่นซึ่งจอดรถสัญญาณไฟเลี้ยวขวาเพื่อขึ้นทางด่วน ทำให้รถกระบะล้ำเข้าในช่องทางเดินรถบรรทุกแก๊สทำให้นายสุทันจำต้องหักรถหลบกะทันหัน เป็นเหตุให้รถบรรทุกแก๊สชนรถกระบะโดยแรงและพลิกคว่ำ ทำให้ท่อนำส่งแก๊สขาด แก๊สรั่วถูกประกายไฟลุกไหม้ เหตุดังกล่าวไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของนายสุทันโจทก์จะเป็นผู้เช่าตึกแถวสามชั้นเลขที่ 1150หรือไม่ จำเลยทั้งห้าไม่อาจทราบได้ โจทก์ไม่มีหลักฐานว่าได้เสียเงินค่าสิทธิการเช่าจำนวน 150,000 บาท ค่าตกแต่งตึกแถวที่เช่าเป็นเงิน 800,000 บาท โจทก์กล่าวอ้างลอย ๆ หากมีก็ไม่เกิน 50,000 บาท ค่าอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงานเป็นเงิน600,000 บาท นั้น ไม่เป็นความจริง โจทก์เรียกร้องเกินความจริงค่าเสียหายส่วนนี้หากมีไม่เกิน 50,000 บาท ค่าสุขภัณฑ์ รวมทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ติดตั้งในชั้นสามเป็นเงิน650,000 บาท นั้น เป็นรายการที่โจทก์กำหนดขึ้นเอง ซึ่งเกินกว่าความเป็นจริง ค่าเสียหายส่วนนี้ไม่ควรเกิน 20,000 บาท โจทก์ไม่ได้รับฝากสินค้าไว้จากบริษัท ห้างร้านต่าง ๆ โจทก์จะมีรายได้ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2533 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,200,000 บาทหรือไม่ จำเลยไม่ขอรับรอง ภายใน 1 ปี โจทก์มีรายได้ไม่เกิน50,000 บาท โจทก์ไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าตึกแถวให้แก่ผู้อื่นได้ เพราะสัญญาเช่าเหลือกำหนดระยะเวลาอีกไม่นาน จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนนี้และโจทก์มิได้ให้ผู้อื่นเช่าตึกชั้นสอง จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนนี้จำเลยที่ 1 ได้เอารถบรรทุกประกันวินาศภัยไว้กับบริษัทร.ส.พ.ประกันภัย จำกัด โดยผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของจำเลยที่ 1 ต่อคนบาดเจ็บหรือมรณะเนื่องจากอุบัติเหตุแก่บุคคลภายนอกคนละไม่เกิน 50,000 บาทและความเสียหายต่อทรัพย์สินครั้งละ 100,000 บาท บริษัทร.ส.พ.ประกันภัย จำกัด ต้องร่วมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนร่วมกันและแทนจำเลยที่ 1 ตามส่วนด้วย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัท ร.ส.พ.ประกันภัยจำกัด เข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยร่วมได้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 71-0415 กรุงเทพมหานคร จากจำเลยที่ 1 ประเภทประกันภัยค้ำจุนในขณะเกิดเหตุจริง มีข้อตกลงว่า จำเลยร่วมจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของจำเลยที่ 1 แก่ผู้บาดเจ็บหรือมรณะของบุคคลภายนอกเนื่องจากเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์ในระหว่างอายุประกันภัย ความรับผิดของจำเลยร่วมจะมีไม่เกินจำนวนเงินจำกัดความรับผิดต่อหนึ่งครั้งที่ได้ระบุไว้ตารางกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 2.1 และ 2.3 รวมค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดที่จำเลยร่วมจะต้องใช้ในส่วนของจำเลยที่ 1 ต่อการเกิดเหตุครั้งนี้ไม่เกิน350,000 บาท จำเลยร่วมได้นำเงินที่จะต้องชำระตามกรมธรรม์ประกันภัยจำนวน 350,000 บาท ไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์กลางกรมบังคับคดี เพื่อประโยชน์แก่โจทก์ผู้เสียหายหรือทายาทหรือผู้รับช่วงสิทธิของผู้เสียหายและได้บอกกล่าวให้โจทก์และเจ้าหนี้ทราบการที่ได้วางทรัพย์นั้นโดยพลัน โดยวิธีประกาศทางหนังสือพิมพ์แล้ว โจทก์ชอบที่จะไปขอรับเงินจากสำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดีโดยตรง ฉะนั้นโจทก์และจำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยร่วมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ เพราะการโต้แย้งสิทธิระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมและจำเลยที่ 1 ไม่มีต่อกัน นับแต่วันที่จำเลยร่วมได้นำเงินไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์กลาง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมร่วมกันชำระเงิน 870,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ให้จำเลยร่วมรับผิดในวงเงินไม่เกิน
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพิ่มขึ้น 2,490,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองตึกแถวสามชั้นเลขที่ 1150 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่แขวงมักกะสัน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร โดยเช่าจากนายพิสัย แสงขำ จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการเก็บรักษา ขนส่ง ขายหรือจำหน่ายแก๊สปิโตรเลียมมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นกรรมการและจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถบรรทุก หมายเลขทะเบียน 71-0415 กรุงเทพมหานคร โดยจำเลยที่ 1 ได้นำรถบรรทุกคันดังกล่าวมาใช้ในการขนส่งแก๊สในกิจการค้าของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่24 กันยายน 2533 นายสุทัน ฝักแคเล็กหรือฟักแคเล็ก ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวลงมาจากทางด่วนที่ถนนเพชรบุรีตุดใหม่ด้วยความประมาทเลินเล่อ ทำให้รถบรรทุกพลิกคว่ำ ทำให้เกิดเพลิงไหม้เป็นบริเวณกว้างรวมทั้งตึกแถวที่โจทก์ครอบครองอยู่นั้นด้วย มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
ปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5จะต้องรับผิดเป็นส่วนตัวหรือไม่ โจทก์ฎีกาอ้างว่า จำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ในฐานะกรรมการของจำเลยที่ 1 จงใจฝ่าฝืนกฎหมายโดยนำรถยนต์บรรทุกที่มีสภาพและอุปกรณ์ไม่ถูกต้องตามกฎหมายไม่ได้ผ่านการตรวจสอบของพนักงานเจ้าหน้าที่และไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในการขนส่งแก๊ส มาใช้ขนส่งแก๊สในกิจการของจำเลยที่ 1เรื่อยมาจนกระทั่งเกิดเหตุ การที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 กระทำการดังกล่าวก่อให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลได้รับความเสียหายโดยต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายรวมทั้งโจทก์แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้เรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2ถึงที่ 5 โจทก์ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ในมูลละเมิดของจำเลยที่ 1จึงชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องแทนจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 และ 233 นั้น เห็นว่า ในกรณีที่บริษัทจะฟ้องร้องเรียกเอาสินไหมทดแทนแก่กรรมการ ตามบทบัญญัติดังกล่าวนั้นจะต้องเป็นกรณีที่กรรมการทำให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท และความเสียหายดังกล่าวจะต้องเป็นผลโดยตรงจากการกระทำหรืองดเว้นในสิ่งที่ควรกระทำตามที่โจทก์กล่าวในฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคล เมื่อนิติบุคคลได้รับความเสียหายย่อมต้องเกิดจากการกระทำของผู้ที่ทำการแทนนั้น ได้ความว่าความเสียหายในคดีนี้เกิดจากการที่นายสุทันขับรถบรรทุกแก๊สด้วยความประมาทเลินเล่อทำให้รถพลิกคว่ำ ความเสียหายที่เกิดเพราะรถบรรทุกแก๊สมีสภาพและอุปกรณ์ไม่ถูกต้องก็เป็นเหตุประการหนึ่งที่ทำให้ได้รับผลร้ายแรงเท่านั้น แต่การที่รถบรรทุกแก๊สมีสภาพและอุปกรณ์ไม่ถูกต้องนั้น มิใช่ผลโดยตรงของความเสียหาย จะเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 นำรถยนต์คันดังกล่าวมาใช้งานตั้งแต่ปี 2531 หากจะถือว่าเป็นการกระทำของจำเลยที่ 2ถึงที่ 5 ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ก็มิได้เสียหาย แม้จะเป็นการผิดกฎหมายในส่วนของการที่นำรถยนต์มาใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่จำเลยที่ 1 ก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ชดใช้ค่าเสียหาย ฉะนั้นโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ในมูลละเมิดจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ชดใช้ค่าเสียหายได้
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปคือความเสียหายที่โจทก์ได้รับมีเพียงใดนั้น โจทก์ฎีกาในส่วนที่โจทก์สูญเสียค่าอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในข้อ (3) โดยให้โจทก์ได้รับเพียง 870,000 บาท ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์ตามที่ขอมาโดยอ้างเหตุในฎีกาว่า โจทก์มีพยานบุคคลมาสืบเพราะเอกสารที่อยู่ในตึกแถวถูกเพลิงไหม้เสียหายหมด ส่วนจำเลยที่ 1 มีเพียงพยานปากเดียวคือทนายจำเลยจึงไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้นั้นเห็นว่า ค่าสินไหมทดแทนในมูลละเมิดจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 บัญญัติให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดการจะรับฟังพยานหลักฐานของฝ่ายใดว่ามีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่ากันก็ต้องพิจารณาจากข้อนำสืบของทั้งสองฝ่าย จากข้อนำสืบของโจทก์เป็นเรื่องที่อยู่ในความรู้เห็นของโจทก์เพียงฝ่ายเดียวแม้กระนั้นโจทก์ก็นำสืบให้ชัดแจ้งไม่ได้ทรัพย์สินแต่ละอย่างที่โจทก์อ้างว่าได้รับความเสียหายมีราคาเพียงใดก็เพียงแต่กะประมาณเอาเท่านั้น แต่ศาลชั้นต้นก็ยังได้วินิจฉัยให้โดยเห็นว่าโจทก์ใช้ตึกแถวชั้นล่างประกอบธุรกิจเป็นสำนักงานรับแปลเอกสารและทำบัญชี ชั้นสองใช้เป็นที่เก็บของชั้นสามเป็นที่พักอาศัยโจทก์ย่อมจะต้องมีเครื่องใช้อุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตามสมควร เมื่อโจทก์ไม่อาจนำสืบในรายละเอียดแห่งทรัพย์สินและราคาทรัพย์สินนั้นได้ ศาลจึงกำหนดค่าเสียหายให้ตามสมควร โดยเหตุนี้จึงเห็นว่า หลังเกิดเหตุแล้วไม่นานโจทก์ได้ไปให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนระบุถึงความเสียหายของโจทก์ไว้ตามเอกสารหมาย จ.27 ซึ่งในเอกสารดังกล่าวแม้จะระบุว่ามีจำนวนถึง 1,950,000 บาท แต่ก็เป็นจำนวนที่ไม่ตรงกับรายละเอียดของแต่ละรายการซึ่งรวมกันได้เพียง 1,100,000 บาท เท่านั้นซึ่งจากจำนวนดังกล่าวการที่ศาลกำหนดให้โจทก์ได้รับ870,000 บาท จึงนับว่าเหมาะสมแล้ว
ฎีกาข้อต่อไปของโจทก์เกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ต้องใช้ราคาแก่บริษัทกรุงเทพคอมพิวเตอร์ จำกัด ผู้ฝากเป็นเงิน 800,000 บาท แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ได้รับชดใช้เพียง 600,000 บาท ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในข้อ (4)ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ได้รับตามที่ขอมาโดยอ้างเหตุว่าโจทก์มีพยานบุคคลมาเบิกความถึงมูลค่าแห่งทรัพย์สินโดยจำเลยที่ 1มิได้ถามค้านเกี่ยวกับจำนวนและราคา หรือนำสืบโต้แย้งเป็นประการอื่น ซึ่งในข้อนี้จำเลยที่ 1 ก็ฎีกาเช่นกันโดยจำเลยที่ 1อ้างเหตุในฎีกาว่า โจทก์มีเพียงนายวิทยาพี่ชายโจทก์มาเบิกความสนับสนุนคำเบิกความของโจทก์และเอกสารที่โจทก์นำสืบมีพิรุธ ขอให้ยกฟ้องในส่วนค่าคอมพิวเตอร์ รวมทั้งเงินค่าขาดประโยชน์จำนวน 540,000 บาท ด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยรวมกันไป ในข้อนี้โจทก์เบิกความว่า ได้รับฝากเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องพริ้นเตอร์ไว้จากบริษัทกรุงเทพคอมพิวเตอร์ จำกัด ได้รับค่าฝากเดือนละ20,000 บาท และตอบคำถามค้านของทนายจำเลยทั้งห้าว่าการรับฝากรู้สึกว่าจะมีสัญญา ซึ่งแสดงว่าไม่แน่ใจว่าจะมีสัญญารับฝากทรัพย์หรือไม่รับฝากตั้งแต่ปี 2533 จำนวนเท่าใดไม่ได้นับ แต่นายวิทยาบอกว่าไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท ค่ารับฝากไม่ได้ออกใบเสร็จ แต่นายวิทยา วงศ์เกล็ดนาค พี่ชายโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทกรุงเทพคอมพิวเตอร์ จำกัด พยานโจทก์เบิกความว่า โจทก์ออกใบเสร็จค่ารับฝากให้รวม 9 ฉบับ ตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.39 ซึ่งแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เมื่อพิเคราะห์ใบเสร็จรับเงินทั้ง 9 ฉบับ นั้นแล้วมีความเข้มของหมึกเท่ากันทั้ง 9 ฉบับ ส่วนสัญญาฝากทรัพย์ที่นายวิทยาเบิกความถึงนั้น นายวิทยาก็อ้างว่าเก็บไว้ในห้องที่เช่าและเกิดเหตุเพลิงไหม้นั้นเอง ซึ่งเป็นการผิดวิสัยที่นายวิทยาจะเก็บเอกสารนั้นไว้ในสถานที่เดียวกับที่ฝากทรัพย์แทนที่จะเก็บไว้ที่สำนักงานของบริษัท เพราะเป็นเอกสารสำคัญอย่างหนึ่ง นอกจากนี้โจทก์ยังเบิกความว่ายังมิได้ชดใช้ราคาสิ่งของที่รับฝากให้แก่ผู้ฝาก แต่นายวิทยาเบิกความว่าได้รับชดใช้มาบางส่วนเป็นเงินจำนวน 70,000 บาท แล้ว ทั้งได้ออกใบเสร็จรับเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ด้วย แต่ปรากฏว่าโจทก์มิได้นำใบเสร็จรับเงินดังกล่าวมาแสดงต่อศาลเพื่อสนับสนุนข้อนำสืบของโจทก์ที่ว่าโจทก์ยังมีหนี้ที่ต้องชำระราคาทรัพย์สินที่ได้รับฝากอันจะเป็นเหตุให้เรียกจากจำเลยที่ 1 ได้ การนำสืบที่มีข้อพิรุธเช่นนี้ย่อมมีผลถึงข้ออ้างที่ว่ามีค่าขาดประโยชน์จากการได้รับค่าเช่าสถานที่รับฝากทรัพย์สินนั้นด้วย เพราะข้อนำสืบของโจทก์ไม่อาจรับฟังได้ แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้นำสืบโต้แย้งราคาทรัพย์ จำเลยที่ 1 ก็ไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายในส่วนนี้ให้แก่โจทก์
ฎีกาโจทก์ข้อต่อไปคือค่าเสียโอกาสที่โจทก์จะได้รับประโยชน์จากอาคารที่เช่าอยู่ หากโจทก์โอนสิทธิการเช่าให้ผู้อื่นตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในข้อ (6) โดยอ้างในฎีกาว่า ขอให้พิเคราะห์ถึงทำเลที่ตั้งของอาคารว่าอยู่ในทำเลการค้า จึงเป็นความเสียหายที่ไม่ไกลเกินกว่าเหตุนั้น เห็นว่า ตามเอกสารสัญญาเช่าอาคารหมาย ล.1 ซึ่งโจทก์มิได้โต้แย้งว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ก็มิได้ให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะนำทรัพย์สินที่เช่าไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงหรือโอนสิทธิการเช่าได้ ตามที่ระบุไว้ในข้อ 10 แห่งเอกสารดังกล่าว สิทธิของโจทก์ที่จะได้รับเงินค่าโอนสิทธิการเช่ามีอยู่อย่างไร โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าหากโจทก์โอนสิทธิการเช่าให้ผู้อื่น ผู้ให้เช่าจะต้องยินยอมให้โจทก์โอนได้โดยไม่อาจปฏิเสธได้หรือไม่ อาศัยเหตุผลที่กล่าวมาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ว่าความเสียหายในส่วนนี้เป็นความเสียหายที่ไกลเกินเหตุ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 ได้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปคือฎีกาจำเลยที่ 1 ในข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ข้อ (1) เรื่องเงินที่โจทก์จ่ายให้ผู้เช่าล่วงหน้าจำนวน 150,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า พยานโจทก์เบิกความแตกต่างกัน ทั้งมิได้นำผู้ให้เช่ามาเบิกความ คงมีแต่คำเบิกความของแพทย์หญิงพูลศรี วินิจฉัยกุล ผู้มีส่วนได้เสียในฐานะเป็นทายาทของเจ้าของอาคารมาเบิกความว่าไม่เคยเรียกเก็บเงินแป๊ะเจี๊ยะหรือเงินกินเปล่าจากผู้เช่ารายใด ทั้งไม่ได้ระบุว่าในสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.1 ด้วยนั้น เห็นว่า ตึกแถวที่โจทก์เช่านั้นอยู่ริมถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ถือว่าเป็นทำเลดีคมนาคมสะดวก ย่อมเป็นที่ต้องการของผู้ประกอบการค้าที่มีประสงค์เช่าเพื่อประกอบธุรกิจ จึงน่าจะมีการจ่ายค่าตอบแทนล่วงหน้าหรือที่เรียกว่าเงินแป๊ะเจี๊ยะหรือเงินกินเปล่าให้แก่ผู้ให้เช่า แม้ว่าในสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.1 จะมิได้ระบุเงินตอบแทนล่วงหน้าหรือที่เรียกว่าเงินแป๊ะเจี๊ยะหรือเงินกินเปล่าไว้ก็ตาม เพราะโดยปกติเงินจำนวนนี้มักจะไม่ระบุในสัญญาเช่า ส่วนที่แพทย์หญิงพูลศรีเบิกความว่าการให้เช่าตึกแถวทุกคูหาไม่มีการเรียกเงินแป๊ะเจี๊ยะหรือเงินกินเปล่าก็ปรากฏว่าแพทย์หญิงพูลศรีมิใช่คู่สัญญากับโจทก์ แต่เป็นเพียงทายาทคนหนึ่งของเจ้าของเดิมเท่านั้น เมื่อโจทก์เบิกความว่าได้ชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่ผู้ให้เช่า แม้โจทก์จะมิได้นำนายพิสัย แสงขำ ผู้ให้เช่ามาเบิกความ แต่โจทก์ก็มีนายอชิตศักดิ์ บรรจงโพธิ์กลาง ผู้รับมอบอำนาจจากนายพิสัยมาเบิกความแล้ว แม้มิได้กล่าวถึงเงินจำนวนดังกล่าวก็ยังไม่อาจฟังว่าไม่มีการชำระเงิน ทั้งไม่มีคำถามค้านของทนายจำเลยทั้งห้าให้ปรากฏข้อเท็จจริงในเชิงปฏิเสธ อาศัยเหตุผลที่กล่าวมาข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ชำระเงินจำนวนดังกล่าว และเป็นความเสียหายส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการละเมิดของนายสุทันลูกจ้างจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชอบชดใช้ให้แก่โจทก์ แต่อย่างใดก็ดีเงินจำนวน 150,000 บาท นั้น ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าเป็นค่าตอบแทนการเช่าระยะเวลา 3 ปี เมื่อโจทก์ได้ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าเป็นเวลา 8 เดือนเศษค่าเสียหายในส่วนนี้ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดให้ลดลงตามส่วน และศาลมีอำนาจที่จะวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 438 เห็นควรกำหนดให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้ 120,000 บาท
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาจำเลยที่ 1 ในส่วนของค่าตกแต่งต่อเติมหน้าร้านตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในข้อ (2) นั้นจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า พยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันในเรื่องชื่อผู้รับจ้าง และอ้างว่าภรรยาโจทก์เป็นผู้จ้าง แต่มิได้นำภรรยาโจทก์มาเบิกความด้วย และเป็นความรู้เห็นของโจทก์เพียงฝ่ายเดียวจึงไม่อาจรับฟังได้เช่นนั้น เห็นว่าโจทก์มีตัวโจทก์เบิกความว่า หลังจากโจทก์ย้ายเข้ามาอยู่ในตึกแถวที่เช่าแล้วโจทก์ได้ซ่อมแซมและต่อเติมอาคารหลายอย่าง เพื่อใช้ประกอบธุรกิจและพักอาศัย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าก่อนที่โจทก์เช่าตึกแถวที่เกิดเหตุมีผู้อื่นเช่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อโจทก์ใช้ตึกแถวทำเป็นสำนักงานรับจ้างแปลเอกสารและทำบัญชี ชั้นสองใช้เป็นที่เก็บของชั้นสามใช้เป็นที่พักอาศัย ย่อมเป็นไปได้ที่จะต้องมีการปรับปรุงตกแต่งตึกแถวให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานจึงน่าเชื่อว่าโจทก์ได้ปรับปรุงตกแต่งต่อเติมตึกแถวและเสียเงินเพื่อการนี้จริง แม้พยานโจทก์จะเบิกความแตกต่างกันในเรื่องชื่อผู้รับจ้างและโจทก์มิได้นำภรรยาโจทก์ซึ่งเป็นผู้จ้างมาเบิกความก็ตามเพราะโจทก์และภรรยาอยู่บ้านเดียวกัน โจทก์ย่อมจะต้องมีส่วนรู้เห็นในการที่ภรรยาโจทก์กระทำไปไม่ถือว่าพยานโจทก์มีพิรุธจนถึงขั้นที่ไม่น่าเชื่อว่ามีการต่อเติมตกแต่งอาคารที่เช่าส่วนจะเป็นจำนวนเงินเท่าใดนั้น เห็นว่า ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องในส่วนนี้จำนวน 800,000 บาท นั้น โจทก์มิได้นำสืบให้ชัดว่าสิ่งที่โจทก์หรือภรรยาโจทก์ได้กระทำไปมีรายละเอียดในเรื่องค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการนั้นอย่างไรบ้าง ศาลจึงกำหนดตามที่เห็นสมควรได้ และที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้ 600,000 บาท นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเหมาะสมแล้ว
ฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อต่อไป คือค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการประกอบธุรกิจตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อ (5) จำเลยฎีกาว่าโจทก์นำสืบว่าโจทก์ประกอบกิจการรับจ้างแปลเอกสารและทำบัญชีในนามของห้างหุ้นส่วนจำกัด จึงไม่อาจฟ้องเรียกร้องในฐานะส่วนตัวได้นั้น เห็นว่า โจทก์เบิกความตอบคำถามค้านว่าการรับแปลเอกสารได้จดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด ชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดเวิลด์ทรานสเลชั่นเซ็นเตอร์ ซึ่งตรงกับชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัด ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.2 ซึ่งระบุวัตถุประสงค์ในข้อ (41) ว่ารับจ้างแปลเอกสาร ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าการรับจ้างแปลเอกสารเป็นธุรกิจของห้างหุ้นส่วนจำกัดเวิลด์ทรานสเลชั่นเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากโจทก์ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1015แม้โจทก์จะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ แต่เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะส่วนตัวโดยที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเวิลด์ทรานสเลชั่น เซ็นเตอร์ มิได้ร่วมเป็นโจทก์ด้วยค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ 1
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ร่วมชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 1,590,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share