คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4541/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 รับธนบัตรจากสายลับที่มาล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนแล้วติดต่อให้จำเลยที่ 1 ซึ่งมีเมทแอมเฟตามีนของกลาง 5 เม็ดมายังหอพักที่เกิดเหตุ โดยเดินทางมาถึงพร้อมกัน พฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันขายเมทแอมเฟตามีนแก่สายลับโดย จำเลยที่ 2 ตกลงขายและรับเงิน แล้วติดต่อให้จำเลยที่ 1 นำ เมทแอมเฟตามีนมาส่งมอบแก่สายลับ เมื่อจำเลยทั้งสองมาถึงบริเวณหน้าหอพัก เจ้าพนักงานตำรวจเข้าแสดงตัวและจับกุม การซื้อขายเมทแอมเฟตามีนระหว่างจำเลยทั้งสองกับสายลับจึงไม่สำเร็จบริบูรณ์ เป็นความผิดฐานพยายามขายเมทแอมเฟตามีนของกลาง และฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต
การกระทำผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีน เป็นความผิดร้ายแรงด้วยส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเป็นต้นเหตุให้เกิดความเสื่อมโทรมของสังคม บ่อนทำลายสถาบันครอบครัวและวัฒนธรรมอันดีงามของชาติเป็นภัยร้ายแรงที่แพร่ระบาดในหมู่เยาวชนที่อยู่ในวัยศึกษายากแก่การปราบปรามแก้ไข จำเลยทั้งสองเป็นนักศึกษา ย่อมรู้ถึงพิษภัยร้ายแรงดังกล่าว แต่กลับร่วมกระทำผิดในลักษณะที่ช่วยให้เมทแอมเฟตามีนแพร่กระจายเข้าไปในกลุ่มนักศึกษาและหอพักนักศึกษาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น จึงไม่มีเหตุอันควรแก่การปรานี ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รอการลงโทษเหมาะสมแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62, 89, 106 คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,89, 62 วรรคหนึ่ง, 106 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานร่วมกันขายวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ขณะกระทำผิดจำเลยที่ 1 มีอายุไม่เกิน 17 ปี ส่วนจำเลยที่ 2มีอายุไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 75 และ 76 ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี 6 เดือน คำรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลยทั้งสอง เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 20 เดือน คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติการปราบปรามผู้กระทำผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนไม่รู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองมาก่อน จึงไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์จะแกล้งจับกุมจำเลยทั้งสองโดยไม่มีมูลความผิดจำเลยที่ 1 เบิกความรับว่าได้มีไว้ในครอบครองซึ่งเมทแอมเฟตามีนจำนวน5 เม็ดจริง แต่ปฏิเสธว่ามิได้มีไว้เพื่อขายในขณะที่จำเลยที่ 2 เบิกความว่าธนบัตรของกลางจำนวน 200 บาท จำเลยที่ 2 รับไว้เพื่อนำไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจากผู้ขาย จึงเจือสมรับกับข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบชั้นจับกุมจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ทั้งนำชี้สถานที่ที่รับมอบธนบัตรของกลางให้เจ้าพนักงานตำรวจถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน แสดงว่าจำเลยทั้งสองยอมรับสารภาพและให้ความจริงต่อเจ้าพนักงานตำรวจด้วยความสมัครใจด้วยจำนนต่อหลักฐานที่ปรากฏจากการตรวจค้น แม้จำเลยทั้งสองจะให้ปากคำในชั้นสอบสวนผิดแปลกไปก็เพราะมีเวลาคิดหาข้อแก้ตัวได้จึงไม่อาจลบล้างคำรับสารภาพที่กระทำด้วยความสมัครใจในเบื้องต้นได้เมื่อจำเลยที่ 2 รับธนบัตรของกลางจากสายลับที่มาล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนแล้วติดต่อให้จำเลยที่ 1 ซึ่งมีเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวน 5 เม็ดมายังหอพักที่เกิดเหตุ โดยเดินทางมาถึงพร้อมกัน พฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันขายเมทแอมเฟตามีนของกลางแก่สายลับโดยจำเลยที่ 2 ตกลงขายเมทแอมเฟตามีนและรับเงินจำนวน 200 บาทที่สายลับนำมาล่อซื้อเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง แล้วติดต่อให้จำเลยที่ 1นำเมทแอมเฟตามีนมาส่งมอบแก่สายลับ แต่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเสียก่อน การซื้อขายเมทแอมเฟตามีนระหว่างจำเลยทั้งสองกับสายลับจึงไม่สำเร็จบริบูรณ์ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นเพียงความผิดฐานพยายามขายเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวน 5 เม็ดและฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาตเท่านั้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันขายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่รับอนุญาตและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาตนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นอ้างศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า มีเหตุอันควรลงโทษจำเลยทั้งสองในสถานเบาและรอการลงโทษให้หรือไม่ เห็นว่า การกระทำผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนเป็นความผิดร้ายแรงด้วยส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเป็นต้นเหตุให้เกิดความเสื่อมโทรมของสังคม บ่อนทำลายสถาบันครอบครัวและวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ เป็นภัยร้ายแรงที่แพร่ระบาดในหมู่เยาวชนที่อยู่ในวัยศึกษายากแก่การปราบปรามแก้ไข จำเลยทั้งสองเป็นนักศึกษาย่อมรู้ถึงพิษภัยร้ายแรงดังกล่าว แต่กลับร่วมกระทำผิดในลักษณะที่ช่วยให้เมทแอมเฟตามีนแพร่กระจายเข้าไปในกลุ่มนักศึกษาและหอพักนักศึกษาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น จึงไม่มีเหตุอันควรแก่การปรานีที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจกำหนดโทษและลงโทษจำเลยทั้งสองโดยไม่รอการลงโทษเหมาะสมแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานพยายามขายวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และฐานมีวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89, 62 วรรคหนึ่ง, 106 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 83 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานพยายามขายวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ขณะกระทำผิดจำเลยที่ 1 อายุไม่เกิน 17 ปี จำเลยที่ 2 อายุไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 และ 76ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี 8 เดือน คำรับสารภาพชั้นจับกุมของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 13 เดือน 10 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6

Share