คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 454/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำฟ้องบรรยายว่า จำเลยที่ 2 เป็นชู้สาวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาโจทก์ การเป็นชู้ย่อมเป็นการล่วงสิทธิของโจทก์ นับเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์อยู่ในตัวทำให้โจทก์เสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณ และขอให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทดแทน นับได้ว่าเป็นการแจ้งชัดทั้งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์นำสืบว่าโจทก์เดินทางไปต่างประเทศครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2526 และโจทก์ได้ทราบเรื่องจำเลยเป็นชู้เมื่อต้นเดือนเมษายน 2527 ซึ่งจำเลยมิได้สืบหักล้างให้เห็นว่าโจทก์ทราบเรื่องตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2526 จึงรับฟังได้ว่าโจทก์ทราบเรื่องเมื่อเดือนเมษายน 2527 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2527 ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี สิทธิฟ้องของโจทก์ย่อมไม่ระงับไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1529 วรรคหนึ่ง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1มีบุตร 2 คน เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2525 โจทก์ไปรับจ้างทำงานที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ระหว่างนั้นได้มาเยี่ยมครอบครัวที่จังหวัดอุบลราชธานีหลายครั้ง และได้เดินทางกลับไปประเทศซาอุดีอาระเบียครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2526 ในระหว่างที่ทำงานอยู่ โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ประพฤติเสื่อมเสียในทำนองชู้สาวกับจำเลยที่ 2 โจทก์จึงเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2527 จึงทราบจากบิดาและบุตรของโจทก์ว่าจำเลยทั้งสองได้บังอาจกระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยประพฤติผิดศีลธรรมส่อไปในทางชู้สาว ขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยที่ 1หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้ถือคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาจดทะเบียนหย่าแทนจำเลยที่ 1 ในเมื่อไม่ไปจดทะเบียนหย่าให้บุตรทั้งสองอยู่ในความปกครองของโจทก์ให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าทดแทนให้โจทก์ 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยประพฤติผิดศีลธรรมในทำนองชู้สาวกับจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ขาดอายุความและเคลือบคลุมค่าเสียหายไม่เกิน 5,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน หากจำเลยที่ 1 ไม่ไปจดทะเบียนหย่าให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้บุตรทั้งสองอยู่ในความปกครองของโจทก์ ให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าทดแทนให้แก่โจทก์เป็นเงิน50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์อย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่าตามคำฟ้องบรรยายว่า จำเลยที่ 2 เป็นชู้สาวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาโจทก์ การเป็นชู้ย่อมเป็นการล่วงสิทธิของโจทก์นับเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์อยู่ในตัว ทำให้โจทก์เสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณและขอให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทดแทนนับได้ว่าเป็นการแจ้งชัดทั้งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ประการที่สอง สิทธิฟ้องร้องของโจทก์ระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529 หรือไม่ เห็นว่า ตามที่โจทก์นำสืบปรากฏว่าโจทก์เดินทางไปต่างประเทศครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2526 และโจทก์ได้ทราบเรื่องดังกล่าวเมื่อต้นเดือนเมษายน 2527 ซึ่งจำเลยมิได้สืบหักล้างให้เห็นว่า โจทก์ทราบเรื่องตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2526 จึงรับฟังได้ว่า โจทก์ทราบเรื่องเมื่อเดือนเมษายน 2527 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 13ธันวาคม 2527 ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี สิทธิฟ้องของโจทก์ย่อมไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529 วรรคหนึ่ง
ประการที่สาม จำเลยทั้งสองเป็นชู้กันหรือไม่ เห็นว่า ทั้งพยานโจทก์และจำเลยเบิกความว่า จำเลยทั้งสองไปไหนด้วยกันบ่อย ๆและจำเลยที่ 2 ก็ไปที่บ้านจำเลยที่ 1 บ่อย แม้แต่นางประคองสิงห์แก้ว ซึ่งเป็นพยานจำเลยเบิกความตอบคำถามค้านว่า จำเลยที่ 2ไปรับประทานอาหารที่บ้านจำเลยที่ 1 อาทิตย์ละ 3-4 วัน จึงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 2 ไปที่บ้านจำเลยที่ 1 บ่อย และเด็กชายสายัณห์พยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยที่ 2 ไปรับประทานอาหารที่บ้านจำเลยที่ 1 ขากลับก็เป็นเวลาถึง 5 ทุ่ม เคยมองลอดพื้นกระดานจากชั้นบนลงไปที่พื้นชั้นล่าง เห็นจำเลยทั้งสองกอดจูบและร่วมประเวณีกัน ส่วนเด็กหญิงนิภาพร พยานโจทก์อีกปากหนึ่งก็เบิกความว่าเคยเห็นจำเลยทั้งสองกอดจูบกัน พยานดังกล่าวเป็นผู้อยู่บ้านเดียวกับจำเลยที่ 1 และเป็นผู้ใกล้ชิด ทั้งจำเลยที่ 2 ก็ไปบ้านจำเลยที่ 1 เป็นประจำ เชื่อว่าพยานดังกล่าวเห็นเหตุการณ์จริงที่จำเลยที่ 2 ฎีกาอ้างว่า พยานมองเห็นตามช่องไม้พื้น แต่ไม้พื้นที่ตีสนิทชิดกันย่อมจะมองไม่เห็นข้างล่างได้นั้น เห็นว่าเป็นความเข้าใจของจำเลยที่ 2 เองที่ว่าเมื่อพื้นไม้สนิทชิดกันย่อมมองไม่เห็น การที่พยานเบิกความว่าพื้นไม้สนิทชิดกัน มิได้ชี้ให้เห็นว่าไม่มีช่องที่สามารถมองเห็นได้เลย และที่เด็กชายสายัณห์ว่าร่วมประเวณีกัน ส่วนเด็กหญิงนิภาพรว่ากอดจูบกัน ตามที่พยานเบิกความไม่มีรายละเอียดว่าเห็นการกระทำของจำเลยทั้งสองในคราวเดียวกันจึงมิใช่เป็นการเบิกความแตกต่างกันอย่างจำเลยที่ 2ฎีกา ส่วนจำเลยที่ 2 ก็นำสืบเพียงว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีความเสียหายในเรื่องชู้สาวก็ไม่อาจชี้ได้ว่าจำเลยที่ 2 จะไม่เป็นชู้กับจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักน่าเชื่อมากกว่าของจำเลย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นชู้กัน
ประการสุดท้าย ค่าทดแทนมีเพียงใด เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 2เป็นชู้กับภริยาโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่ 2โดยไม่จำเป็นจะต้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่ 1 ด้วย และค่าทดแทนเกี่ยวกับกรณีนี้ กฎหมายให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์เห็นว่าโจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าเสียชื่อเสียงและเกียรติคุณในทางสังคม ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้ค่าทดแทน 50,000 บาทพอเหมาะสมแก่พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 ได้กระทำแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 2ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share