แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เฉพาะคู่ความในคดีเดิมเท่านั้น
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่รถโจทก์จำเลยเกิดชนกันขึ้นนั้น เป็นเพราะความประมาทปราศจากความระมัดระวังของจำเลยฝ่ายเดียวจะนำเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 442 ประกอบด้วยมาตรา 223 มาใช้เป็นหลักในการกำหนดค่าเสียหายหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ขับรถชนรถโจทก์เสียหายโดยประมาท ขอให้จำเลยทั้งสองให้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ มิได้เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ โจทก์เองเป็นฝ่ายประมาท โจทก์มิได้เสียหายจริงดังฟ้อง
โจทก์ไม่สามารถสืบหาที่อยู่จำเลยที่ ๒ จึงขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๒ ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกา ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๔๖ ให้ฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญาเฉพาะคู่ความเดิม หมายถึงจำเลยที่ ๑ ด้วย เพราะเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๒ จะต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจะต้องถือเอาข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเฉพาะคู่ความในคดีเดิมเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ ๑ ในคดีนี้มิใช่คู่ความในคดีส่วนอาญา คำพิพากษาในคดีส่วนอาญาก็ไม่มีผลผูกมัดจำเลยที่ ๑ จำต้องพิจารณาข้อเท็จจริงต่อไป และเห็นว่า การที่รถโจทก์กับจำเลยที่ ๒ เกิดชนกันขึ้นนั้น เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๒ ฝ่ายเดียว จึงนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๒ ประกอบด้วยมาตรา ๒๒๓ มาใช้เป็นหลักในการกำหนดค่าเสียหายดังที่โจทก์ฎีกาหาได้ไม่
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลยที่ ๑