คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4531/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เดิมโจทก์เคยทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยตำแหน่งผู้จัดการส่วนพัฒนาตลาดเงินทุน มีหน้าที่ดูแลลูกค้าเงินฝากของจำเลย หลังจากโจทก์เกษียณอายุการทำงาน จำเลยได้ทำสัญญาจ้าง ให้โจทก์ทำงานอีก 1 ปีในหน้าที่เดิม ดังนั้น งานที่โจทก์ทำก่อนเกษียณก็ดี หลังเกษียณก็ดีเป็นงานในลักษณะเดียวกันในธุรกิจเดิมของจำเลย เป็นงานปกติของธุรกิจของจำเลย จึงมิใช่งานอันมี ลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุดหรือความสำเร็จของงาน อันจะเข้าข้อยกเว้นตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 วรรคสี่ ที่โจทก์กับจำเลยตกลงทำหนังสือสัญญาการว่าจ้างโดยกำหนดว่าผู้รับจ้างขอให้สัญญาว่าเมื่อครบกำหนดระยะเวลา และ/หรือ ผู้รับจ้างถูกเลิกสัญญาผู้รับจ้างไม่ติดใจเรียกร้องเงินค่าชดเชย จากบริษัททั้งสิ้นนั้น เป็นข้อตกลงที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อ ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 อันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม อันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 จำเลยจึงต้อง จ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 115,500 บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อโจทก์อายุ 55 ปี จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยจ่ายค่าชดเชยครบถ้วนตามกฎหมายแต่โจทก์ในฐานะผู้จัดการส่วนพัฒนาตลาดเงินทุนมีหน้าที่ดูแลบัญชีของลูกค้าหลายบัญชี จำเลยจึงตกลงว่าจ้างโจทก์เป็นหนังสือ กำหนดระยะเวลาการจ้างเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2540 และกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการจ้างวันที่ 31 ธันวาคม 2540 ซึ่งเป็นงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวและมีกำหนดระยะเวลาแน่นอน อีกทั้งมีข้อสัญญาว่าเมื่อครบกำหนดระยะเวลาการจ้างโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องค่าชดเชยจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า งานที่โจทก์ทำต่อมาจึงมีลักษณะเป็นครั้งคราวเข้าข้อยกเว้นตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 วรรคสามและวรรคสี่ จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุสัญญาจ้างสิ้นสุด โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์อุทธรณ์ว่างานที่โจทก์ทำไม่ใช่งานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุดหรือความสำเร็จของงาน อันจะเข้าข้อยกเว้นตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 วรรคสี่นั้น เห็นว่า ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 วรรคสี่ กำหนดไว้ว่า การจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาตามวรรคสามจะกระทำได้สำหรับการจ้างวานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจหรือการค้าของนายจ้างซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอน หรือในงานมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุดหรือความสำเร็จของงาน ฯลฯ ซึ่งงานนั้นจะต้องแล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกินสองปี โดยนายจ้างและลูกจ้างได้ทำสัญญาเป็นหนังสือไว้ตั้งแต่เมื่อเริ่มจ้างเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางว่า เดิมโจทก์เคยทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยตำแหน่งผู้จัดการส่วนพัฒนาตลาดเงินทุน มีหน้าที่ดูแลลูกค้าเงินฝากของจำเลย หลังจากโจทก์เกษียณอายุการทำงานจำเลยได้ทำสัญญาจ้างให้โจทก์ทำงานอีก 1 ปีในหน้าที่เดิม ดังนั้นงานที่โจทก์ทำก่อนเกษียณก็ดี หลังเกษียณก็ดีเป็นงานในลักษณะเดียวกันในธุรกิจเดิมของจำเลย เป็นงานปกติของธุรกิจของจำเลยจึงมิใช่งานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุดหรือความสำเร็จของงาน อันจะเข้าข้อยกเว้นตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยจ้างโจทก์เพื่อถ่ายทอดงานให้แก่ผู้ที่จะมารับงานแทนโจทก์ ตามที่ศาลแรงงานกลางยกขึ้นมาวินิจฉัยนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมานอกสำนวน จึงไม่มีผลให้ศาลฎีกาจำต้องถือตาม โจทก์จึงไม่ใช่ลูกจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 วรรคสามและที่โจทก์กับจำเลยตกลงทำหนังสือสัญญาการว่าจ้างตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 3 โดยกำหนดไว้ในข้อที่ 6 ว่า ผู้รับจ้างขอให้สัญญาว่าเมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามข้อ 1 และ/หรือ ผู้รับจ้างถูกเลิกสัญญาตามข้อ 5 ผู้รับจ้างไม่ติดใจเรียกร้องเงินค่าชดเชย ฯลฯ จากบริษัททั้งสิ้นนั้นเห็นว่า เป็นข้อตกลงที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 อันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ทำงานมาครบ 1 ปี โจทก์ก็ชอบที่จะได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน 115,500 บาท ตามฟ้อง ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ข้ออื่น ๆ ไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับว่า ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 115,500 บาทแก่โจทก์

Share