แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ชนชาติญี่ปุ่นเช่าที่ดินของคนไทยมีกำหนด 5 ปีเช่าแล้วได้ปลูกอาคารโรงเรือนขึ้นบนที่เช่าต่อมาผู้เช่าตกเป็นบุคคลที่เป็นศัตรูของสหประชาชาติตามประกาศนายกรัฐมนตรีตามความใน พระราชบัญญัติว่าด้วยการกักคุมตัวและการควบคุมกิจการหรือทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติ มาตรา 3 ก.ท.ส.จึงเข้าควบคุมจัดกิจการของผู้เช่า ได้ตกลงกับผู้ให้เช่ามีใจความสำคัญว่า ผู้ให้เช่ายอมใช้เงินค่าเช่าล่วงหน้า 2400 บาท แต่ขอให้หักค่าเสียหาย 1500 บาท ค่าเช่าที่ค้างเป็นอันเลิกกันไปสิ่งปลูกสร้างเป็นของ ก.ท.ส.แต่ขอร้องให้ก.ท.ส.ให้โอกาสรับซื้อก่อนคนอื่นเมื่อคนอื่นให้ราคาเท่ากันดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่าเป็นข้อตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างผู้เช่ากับผู้ให้เช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 แล้วถือได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกันไว้กับโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย จึงขอให้จำเลยใช้เป็นเงิน 26,880 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามเอกสารหมาย จ.1 นั้นไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามกฎหมาย จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เอกสาร จ.1 มีข้อความว่า “นายผอบฤกษ์สาร ยอมใช้เงินค่าเช่าล่วงหน้า 2,400 บาท แต่ขอให้หักค่าเสียหาย 1,500 บาท ค่าเช่าค้างเป็นอันเลิกกันไป สิ่งปลูกสร้างเป็นของ ก.ท.ส. แต่ขอร้องให้ ก.ท.ส. ให้โอกาสรับซื้อก่อนคนอื่นเมื่อคนอื่นให้ราคาเท่ากัน” นั้น ย่อมเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความได้จริง เพราะเป็นการระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลแพ่ง ให้ทำการพิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว เมื่อได้พิจารณาถึงมูลกรณีที่ปรากฏในคำฟ้อง คำให้การแล้ว ทำให้เห็นว่าการที่จำเลยลงชื่อในหนังสือจ.1 นั้น แสดงให้เห็นว่าได้มีข้อพิพาทเรื่องสัญญาเช่าและสิ่งปลูกสร้างในที่ของจำเลยกับ ก.ท.ส. การที่จำเลยทำหนังสือ จ.1 ก็เพื่อระงับข้อพิพาทนั่นเอง เข้าลักษณะสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์
จึงพิพากษายืน