คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4525/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลฎีกาพิพากษาให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีได้แล้วผู้ร้องสอดย่อมมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ การพิจารณาพิพากษาคดีจึงต้องกระทำโดยมีคู่ความทั้งสามฝ่าย การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาคดีไปโดยไม่มีผู้ร้องสอดเข้ามาในคดี เป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาศาลฎีกามีอำนาจสั่งยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีได้ ในกรณีที่ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2) นั้น ศาลฎีกามีอำนาจสั่งคืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกาที่เสียมาทั้งหมดให้แก่คู่ความ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน จำเลยเป็นผู้อาศัยในที่ดินแปลงดังกล่าวมาก่อนที่โจทก์จะเป็นเจ้าของ เมื่อโจทก์ซื้อแล้ว จำเลยได้ตกลงจะซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์ในราคา 1,449,000 บาท หากผิดนัดจำเลยยอมขนย้ายออกไปจากที่ดินของโจทก์ทันที และหากจำเลยไม่ยอมออกไป จนโจทก์ต้องฟ้องขับไล่จำเลยยอมชำระค่าปรับให้โจทก์เป็นเงิน 500,000 บาท จำเลยมิได้ปฏิบัติตามสัญญา ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากบ้านและที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 12 ตำบลหนองปาครั่ง อำเภอเมืองเชียงใหม่จังหวัดเชียงใหม่ ภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา ให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์เดือนละ 15,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินตามฟ้องของโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 12 พร้อมทั้งบ้านพิพาทเป็นของบุคคลผู้มีชื่อ ซึ่งได้เข้าครอบครองทำประโยชน์และอยู่อาศัยโดยสงบเปิดเผย โดยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกินกว่า1 ปีแล้ว โจทก์ไม่ใช่เจ้าของ จำเลยไม่เคยตกลงซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากโจทก์ในราคา 1,449,000 บาท และไม่เคยตกลงจะชำระค่าปรับให้โจทก์เป็นเงิน 500,000 บาท หนังสือสัญญาซื้อขายที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องเป็นสัญญาปลอม ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน นายสิทธิพร ไชยนันท์ ได้ยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา57(1) ขอให้สั่งว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องสอด ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องสอด แล้วดำเนินการพิจารณาต่อไป
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ผู้ร้องสอดฎีกาต่อมา ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้รับคำร้องสอดให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาตามรูปความ
เมื่อศาลชั้นต้นยกคำร้องไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาในคดีแล้ว ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการสืบพยานจำเลยและโจทก์แล้วพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านและที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 12ให้จำเลยใช้เงินโจทก์ 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี นับจากวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้เงินโจทก์เดือนละ 15,000 บาท นับจากวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินตามฟ้องโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีได้แล้วผู้ร้องสอดย่อมมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 58แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การพิจารณาพิพากษาคดีจึงต้องกระทำโดยมีคู่ความทั้งสามฝ่าย ศาลจะแยกพิจารณาพิพากษาหาได้ไม่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาคดีไปโดยไม่มีผู้ร้องสอดเข้ามาในคดี เป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยการพิจารณา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจสั่งยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ตามบทบัญญัติในมาตรา243(2), 257 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีคืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลย ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่

Share