คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4525/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) ย่อมมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ตาม มาตรา 58 การพิจารณาพิพากษาคดีจึงต้องกระทำโดยมีคู่ความสามฝ่าย ศาลจะแยกพิจารณาพิพากษาหาได้ไม่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิจารณาพิพากษาคดีโดยไม่มีผู้ร้องสอดเข้ามาในคดี เป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยการพิจารณาศาลฎีกาให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ตามมาตรา 243(2),247.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากบ้านและที่ดินตามน.ส.3 เลขที่ 12 ตำบลหนองป่าครั่ง อำเภอเมืองเชียงใหม่จังหวัดเชียงใหม่ ภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา ให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย กับอีกเดือนละ 15,000บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดิน
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องพร้อมทั้งบ้านเป็นของบุคคลผู้มีชื่อ ซึ่งได้เข้าครอบครองทำประโยชน์และอยู่อาศัยโดยสงบ เปิดเผยโดยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์ไม่ใช่เจ้าของจำเลยได้ย้ายทะเบียนบ้านออกจากบ้านพิพาทแล้ว และไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องอีก โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ทั้งฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน นายสิทธิพร ไชยนันท์ได้ยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นคู่ความว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านและมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โดยผู้ร้องได้เข้าครอบครองทำประโยชน์และอยู่อาศัยโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อมาเป็นเวลาเกิน 10 ปี ขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) ขอให้สั่งว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องสอด ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องสอด แล้วดำเนินการพิจารณาต่อไป
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ผู้ร้องสอดฎีกาต่อมาศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้รับคำร้องสอดให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาตามรูปความ
เมื่อศาลชั้นต้นยกคำร้องไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาในคดีแล้วศาลชั้นต้นได้ดำเนินการสืบพยานจำเลยและโจทก์แล้วพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านและที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 12 ตำบลหนองป่าครั่ง อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ให้จำเลยเงินโจทก์ 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้เงินโจทก์เดือนละ 15,000 บาท นับจากวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินตามฟ้องโจทก์
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีได้แล้วผู้ร้องสอดย่อมมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 58แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การพิจารณาพิพากษาคดีจึงต้องกระทำโดยมีคู่ความทั้งสองฝ่าย ศาลจะแยกพิจารณาพิพากษาหาได้ไม่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาคดีไปโดยไม่มีผู้ร้องสอดเข้ามาในคดี เป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจสั่งยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ตามบทบัญญัติในมาตรา243(2), 247 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง”
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share