แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ถ้ามีบุคคลหลายคนเรียกเอกสังหาริมทรัพย์เดียวกันโดยอาสัยหลักกัมสิทธิ์ต่างกัน ถ้าทรัพย์สินนั้นตกหยู่ไนครอบครองของฝ่ายได้ บุคคลนั้นย่อมมีสิทธิดีกว่าบุคคลอื่น ๆ แค่ต้องได้ทรัพย์นั้นโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริต.
ซื้อทรัพย์แล้วคงไห้หยู่ไนความครอบครองของผู้ขายแล้วผู้ขายขายไห้คนที่ 3 ๆซื้อไว้โดยสุจริตและเอาทรัพย์ไปแล้วคนซื้อเดิมฟ้องเรียกจากคนที่สามไม่ได้.
ย่อยาว
ข้อเท็ดจิงได้ความว่านายประพันธได้ขายเครื่องไช้ไนร้านตัดผมไห้แก่โจทโดยมิได้ส่งมอบการครอบครองไห้โจทแล้วต่อมานายประพันธได้เอาทรัพย์นั้นขายไห้แก่จำเลยโดยจำเลยรับซื้อไว้โดยสุจริตและได้รับมอบการครอบครองมาเปนของจำเลยแล้ว โจทจึงมาฟ้องเรียกทรัพย์นั้นคืนมาจากจำเลย
สาลชั้นต้นพิจารนาแล้วพิพากสายกฟ้องโจท
โจทอุธรน์ สาลอุธรน์พิพากสากลับไห้จำเลยส่งทรัพย์ไห้โจท แต่ผู้พิพากสาสาลอุธรน์นายหนึ่งมีความเห็นแย้ง
จำเลยดีกา สาลดีกาเห็นว่า ทรัพย์สินที่พิพาทได้หยู่ไนความครอบครองของจำเลยโดยจำเลยได้การครอบครองทรัพย์นั้นมาโดยสุจริตทั้งได้เสียค่าตอบแทนไปแล้วรวมกับทรัพย์อื่นอีก ๑๙ ชิ้นเปนเงิน ๑๗๐ บาท จำเลยจึงมีสิทธิ์ไนทรัพย์เหล่านั้นดีกว่าโจทตามประมวนกดหมายแพ่งและพานิชมาตรา ๑๓๐๓ จึงพิพากสากลับไห้ยกฟ้องโจท ยืนตามสาลชั้นต้น