แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อบังคับของบริษัทจำเลยมีว่า “การประชุมวิสามัญจะเรียกประชุมเมื่อใดก็ได้ ในเมื่อคณะกรรมการบริษัทเห็นสมควร หรือผู้ถือหุ้นรวมกันนับจำนวนหุ้นได้ถึงหนึ่งในห้าของหุ้นทั้งหมด ทำหนังสือขอให้เรียกประชุมวิสามัญ” ตามข้อบังคับข้อนี้กำหนดให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการที่จะเรียกประชุม มิใช่กรรมการคนใดคนหนึ่งแต่เพียงคนเดียว แม้ว่าผู้ถือหุ้นรวมกันทำหนังสือขอให้เรียกประชุมวิสามัญ ก็จะต้องทำหนังสือถึงคณะกรรมการ แล้วคณะกรรมการเป็นผู้เรียกประชุม
ปรากฏว่า ม.กรรมการเพียงคนเดียวเป็นผู้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทจำเลยในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2513 โดยไม่ได้เสนอคำร้องขอของผู้ถือหุ้นต่อคณะกรรมการบริหารของบริษัทจำเลยตามข้อบังคับ ในวันประชุม ส.ประธานกรรมการบริษัทจำเลยได้สั่งระงับการประชุม ม.ยอมรับคำสั่งแต่โดยดี แต่แล้วกลับละเมิดคำสั่งได้ดำเนินการประชุมต่อไป ที่ประชุมแต่งตั้ง ท.เป็นประธานของที่ประชุม โดยที่ ท.มิได้มีคุณสมบัติตามข้อบังคับที่จะเป็นได้การประชุมดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยข้อบังคับ คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตามมติของที่ประชุมครั้งนั้นจึงเป็นคณะกรรมการที่ไม่ชอบ ไม่มีอำนาจบริหารและไม่มีอำนาจเรียกประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2513 มติต่าง ๆ ของที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 11 ตุลาคม 2513 จึงไม่มีผล
ที่คำขอท้ายฟ้องข้อ 1 ขอให้ศาลพิพากษาว่า การประชุมใหญ่ของบริษัทจำเลยเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2513 และมติต่าง ๆ ที่ลงไว้ไม่มีผลใช้บังคับ และคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 ขอให้ศาลพิพากษาว่า โดยผลของการประชุมใหญ่ของบริษัทจำเลยเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2513 ตกเป็นโมฆะตามกฎหมายและข้อบังคับแล้ว การใดหรือมติใดที่กระทำไปโดยคณะกรรมการของบริษัทจำเลยดังกล่าวในข้อ 1 จึงตกเป็นโมฆะนั้น คำขอท้ายฟ้องข้อ 2 เป็นการเท้าความถึงเท่านั้น หาได้มุ่งหมายจะให้ศาลพิพากษาว่าการประชุมใหญ่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2513 และมติเป็นโมฆะไม่ ทั้งคำบรรยายฟ้องก็มิได้บรรยายในทำนองนั้น แท้ที่จริงประสงค์จะให้พิพากษาว่าการใดหรือมติใดที่กระทำไปโดยคณะกรรมการของบริษัทจำเลยดังกล่าวในข้อ 1 ของคำขอท้ายฟ้อง คือการประชุมและมติในวันที่ 11 ตุลาคม 2513 ตกเป็นโมฆะที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 1 ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 อีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า การประชุมใหญ่ของบริษัทจำเลยครั้งที่ ๒/๒๕๑๓ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๑๓ และมติต่าง ๆ ของที่ประชุมใหญ่นั้นใช้บังคับไม่ได้ การใดหรือมติใดที่กระทำไปโดยคณะกรรมการของบริษัทจำเลยตกเป็นโมฆะ
จำเลยให้การว่าการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๑๓ ถูกต้องตามกฎหมาย มติของที่ประชุมในวันนั้นมีผลสมบูรณ์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ในครั้งนี้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้การประชุมใหญ่ของบริษัทจำเลยเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๑๓ และมติต่าง ๆ ที่ลงไว้ในการประชุมใหญ่ในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ ไม่มีผลใช้บังคับได้เช่นเดียวกัน
จำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มีการประชุมใหญ่ ๓ ครั้ง คือการประชุมในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ และวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๑๓ การประชุมใหญ่ที่เป็นปัญหาจะต้องวินิจฉัยในคดีนี้คือการประชุมในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ และวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๑๓ ว่าเป็นไปโดยชอบหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อบังคับของบริษัทจำเลย ข้อ ๒๐ มีว่า “การประชุมวิสามัญจะเรียกประชุมเมื่อใดก็ได้ ในเมื่อคณะกรรมการบริษัทเห็นสมควร หรือผู้ถือหุ้นรวมกันนับจำนวนหุ้นได้ถึงหนึ่งในห้าของหุ้นทั้งหมด ทำหนังสือขอให้เรียกประชุมวิสามัญ” ตามข้อบังคับข้อนี้กำหนดให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการที่จะเรียกประชุม มิใช่กรรมการคนใดคนหนึ่งแต่เพียงคนเดียว แม้ว่าผู้ถือหุ้นรวมกันทำหนังสือขอให้เรียกประชุมวิสามัญก็จะต้องทำหนังสือถึงคณะกรรมการ แล้วคณะกรรมการเป็นผู้เรียกประชุม คดีนี้ปรากฏว่าพันตำรวจตรีมงคลกรรมการเพียงคนเดียวเป็นผู้เรียกประชุมในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ คำฟ้องของโจทก์บรรยายว่า พันตำรวจตรีมงคลกรรมการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นโดยไม่ได้เสนอคำร้องขอของผู้ถือหุ้นต่อคณะกรรมการบริหารของบริษัท จำเลยตามข้อบังคับ ข้อ ๒๐ ในวันประชุมนาวาอากาศเอกสำราญประธานกรรมการบริษัทจำเลยได้สั่งระงับการประชุมพันตำรวจตรีมงคลยอมรับ คำสั่งแต่โดยดี แต่แล้วกลับละเมิดคำสั่งได้ดำเนินการประชุมต่อไปที่ประชุมแต่งตั้งนายทองคำ เปรมฤทัย เป็นประธานของที่ประชุม โดยที่นายทองคำมิได้มีคุณสมบัติที่จะเป็นได้ เพราะนายทองคำไม่ได้เป็นกรรมการของบริษัทตามข้อบังคับ ข้อ ๒๓ จำเลยให้การแต่เพียงว่า การประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ ดำเนินไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย ฟังไม่ได้ว่ามีผู้ถือหุ้นจำนวนถึง ๑ ใน ๕ ของหุ้นทั้งหมด รวมกันทำหนังสือขอให้มีการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตามมติของที่ประชุมครั้งนั้นจึงเป็นคณะกรรมการที่ไม่ชอบ ไม่มีอำนาจบริหารและอำนาจเรียกประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๑๓ เมื่อพิเคราะห์ถึงความมุ่งหมายของผู้ถือหุ้นที่ขอให้เรียกประชุมใหญ่ดังปรากฏในเอกสารหมาย ล.๒ ว่า คณะกรรมการชุดที่นายทองคำเป็นกรรมการยังมิได้รับมอบกิจการและทรัพย์สินของบริษัทจากคณะกรรมการชุดเก่า ทั้งยังมีคดีกันอยู่ขอให้มีการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเพือแถลงความเป็นไปของบริษัทในระหว่างนั้น และพิจารณาว่าควรจะดำเนินการอย่างไรต่อไปจึงจะเป็นผลดีแก่บริษัทและผู้ถือหุ้นทั้งหลาย นายทองคำบันทึกไว้ข้างท้ายเอกสารหมาย ล.๒ ให้นัดประชุมใหญ่ในวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๑๓ ตามคำร้องขอของผู้ถือหุ้นปรากฏตามเอกสารหมาย ล.๔ และ ล.๕ ว่าผู้ถือหุ้น ๒๘ ราย จำนวนหุ้น ๔๘๙ หุ้น มอบฉันทะให้พันตำรวจตรีมงคลเข้าประชุมแทน พันตำรวจตรีมงคลพยานจำเลยเบิกความว่าหุ้นทั้งหมดมีประมาณ ๑,๐๐๐ หุ้น ตามหนังสือบริคณห์สนธิและข้อบังคับ เอกสารหมาย จ.๓ พันตำรวจตรีมงคลมีหุ้นอยู่ ๕๐ หุ้นมติของที่ประชุมครั้งนี้ให้ถอนฟ้องคดีล้มละลายหมายเลขดำที่ ๕๙/๒๕๑๓ ซึ่งนายสนิท ธรรมวิวัฒน์ ผู้ถือหุ้น ๑๒๓ หุ้น (ตามเอกสารหมาย ล.๔) เป็นจำเลยและตามเอกสารหมาย ๑ ท้ายคำให้การจำเลย นายสนิทเป็นกรรมการบริษัทในชุดนายทองคำด้วยกับมีมติให้ถอนฟ้องคดีอาญาฐานยักยอกหมายเลขดำที่ ๗๓๐๒/๒๕๑๑ ของศาลแขวงพระนครใต้ซึ่งพันตำรวจตรีมงคลเป็นจำเลย ปรากฏว่าพันตำรวจตรีมงคลกับนายสนิทต่างลงคะแนนเสียงให้ตนเองด้วย ดังนี้ เห็นได้ว่าการประชุมครั้งนี้ส่อเจตนาไม่สุจริตต่อบริษัทจำเลย ไม่ตรงตามความประสงค์ของผู้ถือหุ้นที่ร้องขอให้มีการประชุมใหญ่ตามเอกสารหมาย ล.๒ ดังกล่าว ก่อนการประชุมครั้งวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๑๓ นี้ นาวาอากาศเอกสำราญ แย้มศรีบัว กับนายภิรมย์ กมลงาม ได้ไประงับการประชุมแล้วตามเอกสารหมาย จ.๑ คณะกรรมการชุดนายทองคำเป็นคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นโดยไม่ชอบด้วยข้อบังคับของบริษัทจำเลย การนัดประชุมใหญ่ในวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๑๓ โดยกรรมกาชุดนี้ก็ไม่ชอบด้วยข้อบังคับบริษัทข้อ ๒๐ ประกอบกับพฤติการณ์ของการประชุมดังได้กล่าวมาข้างต้น มติต่าง ๆ ของที่ประชุมครั้งนี้จึงไม่มีผลใช้บังคับไม่ได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาตามคำขอท้ายฟ้อง ข้อ ๑ ว่า ให้การประชุมใหญ่ของบริษัทจำเลยเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๑๓ และมติต่าง ๆ ที่ลงไว้ไม่มีผลใช้บังคับได้นั้น ชอบแล้วส่วนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าการใดหรือมติใดที่ลงไว้ในการประชุมใหญ่วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ ก็ไม่มีผลใช้บังคับได้เช่นเดียวกันนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยเพราะตามคำขอท้ายฟ้องข้อ ๒ กล่าวว่า “๒. ขอศาลได้โปรดพิพากษาว่าโดยผลของการประชุมใหญ่ของบริษัทจำเลยเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ ตกเป็นโมฆะตามกฎหมายและข้อบังคับแล้ว การใดหรือมติใดที่กระทำไปโดยคณะกรรมการของบริษัทจำเลยดังกล่าวในข้อ ๑ จึงตกเป็นโมฆะ” นั้น ที่กล่าวถึงการประชุมในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ ตามคำขอท้ายฟ้องข้อ ๒ นี้เป็นการเท้าความถึงเท่านั้น หาได้มุ่งหมายจะให้พิพากษาว่า การประชุมใหญ่ในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ และมติเป็นโมฆะไม่ทั้งคำบรรยายฟ้องก็มิได้บรรยายในทำนองนั้น แท้ที่จริงประสงค์จะให้พิพากษาว่าการใดหรือมติใดที่กระทำไปโดยคณะกรรมการของบริษัทจำเลยดังกล่าวในข้อ ๑ ของคำขอท้ายฟ้องคือการประชุมและมติในวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๑๓ ตกเป็นโมฆะ ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาตามคำขอท้ายฟ้อง ข้อ ๑ ก็เป็นการเพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องข้อ ๒ อีก
พิพากษาแก้เฉพาะข้อที่ศาลอุทธรณ์ว่า การใดหรือมติใดที่ลงไว้ในการประชุมใหญ่ในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ ไม่มีผลใช้บังคับได้นั้น เป็นให้ยกข้อนี้เสียนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์