คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 335/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บรรยายฟ้องว่า ขั้นแรกจำเลยออกตั๋วแลกเงินโดยจำเลยลงชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายนำมาขายให้โจทก์ ต่อมาโจทก์ทวงถามเงินที่จำเลยรับไปจากผู้จ่ายไม่ได้ จึงทวงถามจากจำเลย จำเลยกลับนำเช็คทั้ง 3 ฉบับซึ่งเป็นเช็คลงวันที่ล่วงหน้า โดยบุคคลภายนอกเป็นผู้สั่งจ่ายมาโอนขายให้โจทก์อีก เพื่อเป็นการชำระหนี้ตามตั๋วแลกเงิน ในการนี้จำเลยลงนามสลักหลังเป็นผู้รับอาวัลเช็คทั้ง 3 ฉบับด้วย เช็คถึงกำหนดปรากฏว่าบุคคลภายนอกนั้นไม่มีเงินในบัญชีธนาคาร โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยในฐานที่จำเลยเป็นผู้รับอาวัล ดังนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์บรรยายฟ้องให้ทราบถึงมูลหนี้เดิมว่าเป็นมาอย่างไร บัดนี้จำเลยต้องรับผิดชอบต่อโจทก์อย่างไร หาใช่เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกร้องทั้งหนี้ตามตั๋วแลกเงินและหนี้ตามเช็คไม่ ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำข้อบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว
ข้อกำหนดให้คิดดอกเบี้ยตามที่โจทก์นำสืบมิได้ระบุไว้ในตั๋วแลกเงิน ฉะนั้น แม้โจทก์มีพยานบุคคลมาสืบได้ความว่าจำเลยตกลงยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ร้อยละ 15 ต่อปี หามีบทบังคับให้จำเลยต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราตาที่โจทก์นำสืบหาไม่ กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 968(2) ที่บัญญัติให้ผู้ทรงตั๋วแลกเงินมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราเพียงร้อยละห้าต่อปี นับแต่วันที่ตั๋วแลกเงินถึงกำหนดเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๐๔ จำเลยได้ขายตั๋วแลกเงินชนิดจ่ายเงินทันทีตามคำสั่งโจทก์ สั่งให้ร้ายปอกี่พืชผลจ่ายเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ถ้าร้านปอกี่พืชผลไม่จ่ายเงินให้โจทก์ จำเลยรับจะใช้เงิน ๕๐,๐๐๐ บาทพร้อมทั้งค่าเสียหายตามประเพณี ธนาคารคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๒๕ บาทต่อเดือนให้โจทก์ จนกว่าจะชำระเงินครบ โจทก์ได้จ่ายเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทให้จำเลยรับไปในวันขายตั๋วแลกเงินนั้น ธนาคารโจทก์สาขาปากน้ำโพได้ส่งตั๋วแลกเงินไปยังสำนักงานใหญ่ ที่จังหวัดพระนครนำไปยื่นต่อร้านปอกี่ผู้จ่ายในวันที่ ๑๗ และ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๐๔ ร้านปอกี่พืชผลไม่จ่ายเงินโจทก์จึงเรียกร้องให้จำเลยชำระต่อมาวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๐๔ จำเลยนำเช็คธนาคารนครหลวงไทย จำกัด ซึ่งนายกุยฮีเป็นผู้สั่งจ่ายรวม ๓ ฉบับ เป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท มาชำระหนี้ตามตั๋วแลกเงินดังกล่าว เช็คทั้ง ๓ ฉบับยังไม่ถึงกำหนดชำระเงิน จำเลยจึงโอนขายให้โจทก์เป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยสลักหลังโอนเช็คและเป็นผู้รับอาวัลและค้ำประกันว่าจะใช้เงินตามเช็คทั้ง ๓ ฉบับให้โจทก์ ถ้าเรียกเก็บไม่ได้ จำเลยได้เอาเงินค่าขายเช็คดังกล่าวชำระหนี้ตามตั๋วแลกเงินให้โจทก์ โจทก์คืนตั๋วแลกเงินให้จำเลยไป ถึงกำหนดใช้เงินตามเช็ค
ปรากฏว่าเงินในบัญชีของนายกุยฮีไม่พอจ่ายตามเช็ค โจทก์จึงออกหนังสือคือเช็คทั้ง ๓ ฉบับทวงให้จำเลยชำระ
ขอให้ชำระหนี้ตามตั๋วแลกเงินและเช็คเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทกับดอกเบี้ย ๔,๖๘๗.๕๐ บาท และดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๒๕ บาทต่อเดือน ในต้นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้อง
จำเลยให้การว่า จำเลยได้นำเงินสด ๕๐,๐๐๐ บาทไปชำระหนี้ตามตั๋วแลกเงินให้โจทก์แล้ว ไม่เคยนำเช็คทั้ง ๓ ฉบับตามฟ้องไปชำระหนี้ตามตั๋วแลกเงิน ไม่เคยเป็นผู้รับอาวัล หรือค้ำประกันเช็ค ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑.๒๕ บาทต่อเดือน นับจากวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๐๔ เป็นต้นไป
จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและจำเลยชำระหนี้ตามตั๋วแลกเงินเสร็จสิ้นไปแล้ว และโจทก์มีสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยได้เพียงร้อยละเจ็ดครึ่งเท่านั้น
ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องความว่า ชั้นแรกจำเลยออกตั๋วแลกเงินโดยจำเลยลงชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายนำมาขายให้โจทก์ ต่อมาโจทก์ทวงถามเงินที่จำเลยรับไปจากผู้จ่ายไม่ได้ จึงได้ทวงถามจำเลย จำเลยกลับนำเช็คพิพาททั้ง ๓ ฉบับซึ่งเป็นเช็คลงวันที่ล่วงหน้า นายกุยฮีเป็นผู้สั่งจ่ายมาโอนขายให้โจทก์อีกเพื่อเป็นการชำระหนี้ตามตั๋วแลกเงิน ในกานี้จำเลยได้ลงนามสลักหลังเป็นผู้รับอาวัลเช็คทั้ง ๓ ฉบับนั้นด้วย ครั้นเช็คถึงกำหนด ปรากฏว่านายกุยฮีผู้สั่งจ่ายไม่มีเงินในบัญชีธนาคาร โจทก์จึงฟ้องเรยกเงินตามเช็คทั้ง ๓ ฉบับ จากจำเลยในฐานะที่จำเลยเป็นผู้รับอาวัลตามเช็คนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการที่โจทก์บรรยายฟ้องถึงตั๋วแลกเงินและเช็ค เป็นเรื่องที่โจทก์บรรยายให้ทราบถึงมูลหนี้เดิมว่าเป็นมาอย่างไร และบัดนี้จำเลยต้องรับผิดชอบต่อโจทก์อย่างไร หาใช่เป็นเรื่องฟ้องโจทก์ฟ้องเรียกร้องทั้งหนี้ตามตั๋วแลกเงินและหนี้ตามเช็คดังที่จำเลยกล่าวอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้นไม่ ฟ้องโจทก์เป็นฯฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแหล่งข้อหาเช่นว่านั้น ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๗๒ แล้ว
จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยจากจำเลยถึงร้อยละ ๑.๒๕ บาทต่อเดือน ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๐๐ บัญญัติว่า บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงิน ย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น” และตามความในมาตรา ๔๑๑ บัญญัติว่า “ผู้สั่งจ่ายจะเขียนข้อความกำหนดลงไว้ว่า จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้นให้คิดดอกเบี้ยด้วยก็ได้” ข้อเท็จจริงปรากฏว่าข้อกำหนดให้คิดดอกเบี้ยตามที่โจทก์นำสืบดังกล่าวข้างต้น มิได้ระบุไว้ในตั๋วแลกเงิน ฉะนั้น แม้โจทก์จะมีพยานบุคคลมาสืบได้ความว่าจำเลยตกลงยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ร้อยละ ๑๕ ต่อปีพร้อมร้อยละ ๑.๒๕ บาทต่อเดือนก็ตาม หามีผลบังคับให้จำเลยต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราตามที่โจทก์นำสืบมาดังกล่าวแล้วไม่ กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๖๘(๒) ที่บัญญัติให้ผู้ทรงตั๋วแลกเงิน+เรียกดอกเบี้ยในอัตราเพียงร้อยละห้าต่อปีนับแต่วันที่ตั๋วแลกเงินถึงวกำหนดเท่านั้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๕ ต่อไปในต้นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท นับจากวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๐๔ เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จให้โจทก์ นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share