แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้กระทำการยุยงทหารให้ก่อการกำเริบ และละเลยไม่ให้กระทำการตามหน้าที่เป็นการกระทำให้เสื่อมวินัยทหารอย่างร้ายแรง แต่การกระทำนั้นเกี่ยวเนื่องด้วยการกระทำรัฐประหาร และจำเลยอยู่ในจำพวกรัฐประหารด้วย ดังนี้ การกระทำของจำเลยอยู่ในข่าย พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำรัฐประหาร พ.ศ. 2490.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยสมคบกันยุยงผู้ซึ่งรับราชการฝ่ายทหารให้กำเริบและละเลยไม่ให้กระทำการตามหน้าที่ และสมคบกันกระทำให้สิบโทอุดมเสื่อมเสียอิสสระภาพ กับจำเลยที่ ๑ มีอาวุธโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษ จำเลยให้การว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อคณะรัฐประหาร และเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย เป็นการชอบด้วย พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ ศาลมณฑลทหารบกที่ ๔ พิพากษาจำคุกจำเลยคนละ ๑ ปีตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๑๐๓ และจำคุกคนะล ๓ เดือน ตามมาตรา ๒๖๘ ตอน ๓ ปรับจำเลยที่ ๑ อีก ๕๐ บาท ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน ๒๔๙๐ มาตรา ๗,๗๒ ศาลทหารบกกลางพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องปล่อยจำเลยทั้ง ๒ ไป
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยได้กระทำไปเกี่ยวเนื่องด้วยการกระทำรัฐประหารและจำเลยอยู่ในจำพวกรัฐประหาร จริงอยู่การกระทำของจำเลยในคดีนี้เป็นการทนงองอาจไม่มีความยำเกรงต่อผู้บังคับบัญชาและเป็นการให้เสื่อมวินัยทหารอย่างที่ศาลมณฑลทหารบกที่ ๔ วินิจฉัยมา แต่เมื่อได้มี พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๓ ไม่ประสงค์เอาโทษแก่บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลใด ๆ เนื่องในการกระทำรัฐประหาร