คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1352/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ครั้งแรก ศาลแรงงานมีคำสั่งรับใบแต่งทนายความที่แต่งตั้งให้ ป. เป็นทนายความแก้ต่างให้จำเลย และรับคำให้การจำเลยที่ ป. เป็นผู้ลงลายมือชื่อไว้ ตลอดจนได้ให้ ป. ดำเนินกระบวนพิจารณาในฐานะเป็นทนายความจำเลยมาแล้ว ต่อมาศาลแรงงานมีคำสั่งในภายหลังไม่เชื่อถือใบแต่งทนายความ และถือว่าไม่มีจำเลยในคดีนี้ อันเป็นการเพิกถอนกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการรับ ป. เป็นทนายความจำเลยและกระบวนพิจารณาที่ ป. ได้กระทำแทนจำเลย ซึ่งแม้ศาลแรงงานมีอำนาจกระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ก็ตาม แต่ศาลแรงงานต้องได้ความแน่ชัดเสียก่อนว่ากระบวนพิจารณานั้นเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบจริง
ศาลแรงงานสั่งให้ ป. ทนายความจำเลยนำกรรมการบริษัทจำเลยซึ่งถูกระบุว่าเป็นเจ้าของลายมือชื่อในช่องผู้แต่งทนายความมารับรองลายมือชื่อแสดงว่า ศาลแรงงานเพียงแต่สงสัยว่าอาจไม่ใช่ลายมือชื่อของกรรมการบริษัทจำเลยและการที่กรรมการบริษัทจำเลยไม่มาศาลเพื่อรับรองลายมือชื่อ ก็ยังไม่ทำให้ได้ความแน่ชัดว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของกรรมการบริษัทจำเลย จึงไม่ชอบที่ศาลแรงงานจะนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาใช้กำหนดเป็นเงื่อนไขไม่เชื่อถือใบแต่งทนายความดังกล่าว อันเป็นการผลักภาระซึ่งเป็นผลร้ายให้แก่ฝ่ายจำเลย ทั้ง ๆ ที่จำเลยมิได้เป็นผู้ยกข้อสงสัยนั้นขึ้นกล่าวอ้าง นอกจากนี้ก็ยังมี ป. ทนายจำเลยซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องในการแต่งทนายจำเลย และเป็นผู้รับรองลายมือชื่อในช่องผู้แต่งทนายความไว้ในใบแต่งทนายความ ป. จึงเป็นผู้ที่สามารถให้ความจริงได้ ศาลแรงงานชอบที่จะค้นหาความจริงจาก ป. หรือดำเนินการทางอื่นเพื่อให้ได้ความแน่ชัดเสียก่อน การที่ศาลแรงงานด่วนมีคำสั่งว่า กรรมการบริษัทจำเลยไม่มารับรองลายมือชื่อในใบแต่งทนายความของจำเลย จึงไม่เชื่อถือใบแต่งทนายความดังกล่าวและถือว่าไม่มีจำเลยเข้ามาในคดี แล้วมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดและขาดนัดพิจารณาแล้วชี้ขาดตัดสินคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวจึงเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินสะสมพร้อมดอกเบี้ยและเงินสมทบรวม 258,784.76 บาท แก่โจทก์

วันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ครั้งแรก นายดนัย เหมวัตถกิจทนายความมอบฉันทะให้เสมียนทนายความนำใบแต่งทนายความซึ่งตั้งให้ตนเป็นทนายจำเลยระบุลายมือชื่อในช่องผู้แต่งทนายความว่าเป็นลายมือชื่อของนายประภาส อดิสยเทพกุลและนายสมบูรณ์ เดือนแจ้ง กรรมการบริษัทจำเลย พร้อมคำร้องขอเลื่อนคดีมายื่นอ้างว่าเพิ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นทนายจำเลยและติดว่าความในคดีอื่นที่ศาลแพ่งซึ่งนัดไว้ก่อน

ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งรับใบแต่งทนายความดังกล่าว และอนุญาตให้เลื่อนการพิจารณาและสืบพยานโจทก์ไปเป็นวันที่ 11 มีนาคม 2542 โดยกำชับผู้รับมอบฉันทะให้ไปแจ้งให้นายดนัยทนายจำเลยและจำเลยทราบว่า คดีแรงงานคู่ความจะซักถามพยานได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาล และจำเลยสามารถให้การต่อศาลด้วยวาจาได้ นัดหน้าอย่าได้ขอเลื่อนคดีเพราะเหตุเกี่ยวกับทนายอีก หากจำเลยประสงค์จะมีทนายก็ให้แต่งตั้งทนายความที่พร้อมจะดำเนินกระบวนพิจารณาเข้ามา

วันที่ 2 มีนาคม 2542 นายปัญญา ภาคพานิช ทนายความนำใบแต่งทนายความซึ่งตั้งให้ตนเป็นทนายจำเลย ลงลายมือชื่อในช่องผู้แต่งทนายความโดยบุคคลชุดเดียวกันระบุว่าเป็นลายมือชื่อของนายประภาสและนายสมบูรณ์เช่นเดียวกันพร้อมคำให้การจำเลยซึ่งนายปัญญาเป็นผู้ลงลายมือชื่อมายื่นต่อศาล ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งรับใบแต่งทนายความและคำให้การดังกล่าว

ครั้นวันที่ 11 มีนาคม 2542 ซึ่งเป็นวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ที่เลื่อนมาจากครั้งแรก นายปัญญามาศาลในฐานะทนายจำเลย และศาลแรงงานกลางไกล่เกลี่ย แต่นายปัญญาแถลงว่าไม่มีอำนาจตัดสินใจ และจำเลยมีนโยบายให้สู้คดีโดยไม่มีการตกลงใด ๆ ศาลแรงงานกลางจึงกำหนดประเด็นข้อพิพาทโดยให้จำเลยนำพยานเข้าสืบก่อน แล้วโจทก์สืบแก้โดยให้นัดสืบพยานจำเลยและพยานโจทก์วันที่ 9 เมษายน 2542 และกำชับนายปัญญาว่า นัดหน้าให้นำนายประภาสและนายสมบูรณ์กรรมการบริษัทจำเลยผู้ลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความทั้งสองคนมารับรองลายมือชื่อของตนในใบแต่งทนายความ หากคนใดคนหนึ่งไม่มาศาลเพื่อรับรองลายมือชื่อของตนในใบแต่งทนายความ ศาลจะไม่เชื่อถือว่าเป็นใบแต่งทนายความที่แท้จริงและถือว่าไม่มีจำเลยในคดีนี้

ถึงวันนัดสืบพยานนายปัญญามาศาลแถลงว่า ตามที่ศาลสั่งให้นายประภาสและนายสมบูรณ์มารับรองลายมือชื่อในใบแต่งทนายความนั้น ปรากฏว่าบุคคลทั้งสองไม่มาศาลโดยไม่ทราบเหตุผล

ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า เมื่อนายประภาสและนายสมบูรณ์ไม่มารับรองลายมือชื่อในใบแต่งทนายความของจำเลย จึงไม่เชื่อถือใบแต่งทนายความฉบับดังกล่าว ถือว่าไม่มีจำเลยในคดีนี้ เมื่อไม่มีจำเลยในคดีก็ต้องถือว่าจำเลยไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี จึงมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดและขาดนัดพิจารณาแล้วพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว และพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินสะสมพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 258,784.76 บาท ให้แก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า จำเลยอุทธรณ์ว่า คำสั่งของศาลแรงงานกลางที่ว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา และคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางนั้นไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาเห็นว่า ศาลแรงงานกลางได้มีคำสั่งรับใบแต่งทนายความที่แต่งตั้งให้นายปัญญาเป็นทนายความแก้ต่างให้จำเลย และรับคำให้การจำเลยที่นายปัญญาเป็นผู้ลงลายมือชื่อไว้ ตลอดจนได้ให้นายปัญญาดำเนินกระบวนพิจารณาในฐานะเป็นทนายจำเลยมาแล้ว การที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งในภายหลังว่าไม่เชื่อถือใบแต่งทนายความ ถือว่าไม่มีจำเลยในคดีนี้ จึงเป็นการเพิกถอนกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการรับนายปัญญาเป็นทนายจำเลยและกระบวนพิจารณาที่นายปัญญาได้กระทำแทนจำเลยโดยอาศัยเหตุเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 ซึ่งแม้ว่าศาลแรงงานกลางจะมีอำนาจกระทำได้แต่จะต้องให้ได้ความแน่ชัดเสียก่อนว่ากระบวนพิจารณานั้นเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบจริง การที่ศาลแรงงานกลางสั่งให้นายปัญญานำนายประภาสและนายสมบูรณ์กรรมการบริษัทจำเลยซึ่งถูกระบุว่าเป็นเจ้าของลายมือชื่อในช่องผู้แต่งทนายความมารับรองลายมือชื่อดังกล่าวว่าเป็นลายมือชื่อของตนหรือไม่ แสดงว่า ศาลแรงงานกลางเพียงแต่สงสัยว่าอาจไม่ใช่ลายมือชื่อของนายประภาสและนายสมบูรณ์ และการที่นายประภาสและนายสมบูรณ์ไม่มาศาลเพื่อรับรองลายมือชื่อก็ยังไม่ทำให้ได้ความแน่ชัดว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของนายประภาสและนายสมบูรณ์ตามที่ศาลแรงงานกลางสงสัย จึงไม่ชอบที่ศาลแรงงานกลางจะนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาใช้กำหนดเป็นเงื่อนไขไม่เชื่อถือใบแต่งทนายความดังกล่าวอันเป็นการผลักภาระซึ่งเป็นผลร้ายให้แก่ฝ่ายจำเลย ทั้ง ๆ ที่จำเลยมิได้เป็นผู้ยกข้อสงสัยนั้นขึ้นกล่าวอ้าง นอกจากนายประภาสและนายสมบูรณ์แล้ว ยังมีนายปัญญาเป็นผู้เกี่ยวข้องในการแต่งทนายจำเลย และเป็นผู้รับรองลายมือชื่อในช่องผู้แต่งทนายความไว้ในใบแต่งทนายความว่าเป็นลายมือชื่อขอนายประภาสและนายสมบูรณ์กรรมการบริษัทจำเลย จึงเป็นผู้ที่สามารถให้ความจริงได้ว่าลายมือชื่อดังกล่าวเป็นลายมือชื่อของนายประภาสและนายสมบูรณ์หรือไม่ เมื่อนายประภาสและนายสมบูรณ์ไม่มารับรองลายมือชื่อ ศาลแรงงานกลางจึงชอบที่จะค้นหาความจริงจากนายปัญญาหรือดำเนินการทางอื่นเพื่อให้ได้ความแน่ชัดว่าลายมือชื่อในช่องผู้แต่งทนายความในใบแต่งทนายจำเลยเป็นลายมือชื่อนายประภาสและนายสมบูรณ์หรือไม่ต่อไป การที่ศาลแรงงานกลางด่วนสรุปและมีคำสั่งเมื่อนายประภาสและนายสมบูรณ์ไม่มารับรองลายมือชื่อในใบแต่งทนายความของจำเลย จึงไม่เชื่อถือใบแต่งทนายความดังกล่าวถือว่าไม่มีจำเลยเข้ามาในคดีและมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดและขาดนัดพิจารณาแล้วชี้ขาดตัดสินคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวจึงเป็นการไม่ชอบ

พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางดำเนินการให้ได้ความจริงว่าลายมือชื่อผู้แต่งทนายความในใบแต่งทนายความจำเลยเป็นลายมือชื่อของนายประภาส อดิสยเทพกุล และนายสมบูรณ์ เดือนแจ้ง กรรมการบริษัทจำเลยหรือไม่ แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share