คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4517/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 4,000 บาท จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใดๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท อันต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง แม้จะเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาซึ่งไม่เกี่ยวกับเนื้อหาของคดีที่คู่ความพิพาทกันก็ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินกับบริวารออกจากที่พิพาทซึ่งเป็นที่เฉพาะส่วนตามโฉนดที่ดินเลขที่ 6246 ตำบลวัดเกตุ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง และส่งมอบที่พิพาทคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ทั้งให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันที่สัญญาเช่าสิ้นสุดลงวันที่ 4 ธันวาคม 2537 จนกว่าจะส่งมอบที่พิพาทคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ทั้งนี้ ค่าเสียหายถึงวันฟ้องวันที่ 22 มีนาคม 2538 ต้องไม่เกิน 12,000 บาท และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 2,000 บาท จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่จำเลยโดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2543 ต่อมาวันที่ 12 ตุลาคม 2543 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาโดยอ้างว่า นายเสรี โตวรกุล ทนายความคนเดิมของจำเลยถึงแก่กรรมก่อนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะมีคำพิพากษา จำเลยเพิ่งแต่งตั้งทนายความคนใหม่ในวันนี้ ประกอบกับจำเลยเพิ่งได้รับสำนวนคืนจากสำนักงานของทนายความคนเดิมและเอกสารบางอย่างขาดหายไป ทนายความคนใหม่ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงในคดีจำเป็นต้องใช้เวลาในการตรวจสอบเอกสารและข้อเท็จจริงใหม่เพื่อทำคำฟ้องฎีกา จึงขอขยายระยะเวลามีกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ยื่นคำร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ต้องห้ามอุทธรณ์และฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 และมาตรา 248 ไม่ปรากฏว่าในศาลชั้นต้นมีการทำความเห็นแย้งหรือได้รับรองว่ามีเหตุอันสมควรอุทธรณ์ (ที่ถูกฎีกา) ได้ คดีจึงยุติแล้วไม่มีเหตุที่จะขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาต่อไปอีก ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 4,000 บาท จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใดๆ ออกจากสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท อันต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง แม้จะเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นซึ่งไม่เกี่ยวกับเนื้อหาของคดีที่คู่ความพิพาทกันก็ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกา จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ต่อมา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในเรื่องที่เกี่ยวกับการขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในส่วนที่เกี่ยวกับการขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา และให้ยกฎีกาของจำเลย คืนค่าเนียมศาลทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแก่จำเลย

Share