คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4512/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์และจำเลยแถลงร่วมกันว่าก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง จำเลยจะนำเอกสารของธนาคารออมสินเสนอต่อศาลเพื่อให้ศาลพิจารณาประกอบ โจทก์แถลงเห็นชอบด้วยต่อมาจำเลยส่งเอกสารดังกล่าว โจทก์แถลงรับรองว่าสำเนาเอกสารและข้อความถูกต้อง นอกจากนี้เอกสารดังกล่าวยังเป็นส่วนหนึ่งของเอกสารที่ธนาคารออมสินส่งมาตามหมายเรียกซึ่งศาลออกตามคำร้องขอของโจทก์ และเมื่อโจทก์ตรวจดูแล้วก็ว่าใช่เอกสารที่อ้าง ดังนี้เอกสารดังกล่าวจึงหาใช่เอกสารที่จำเลยอ้างเป็นพยานไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องและเอกสารที่คู่ความอ้างแล้ว งดไต่สวนมูลฟ้องต่อไปพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาเป็นประการแรกว่า การที่ศาลชั้นต้นเรียกเอกสารจากจำเลยมาก่อนทำการไต่สวนมูลฟ้องโจทก์เป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 30 ตุลาคม 2529 ว่า “…โจทก์และทนายจำเลยที่ 9แถลงร่วมกันว่า ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ทนายจำเลยที่ 9จะนำเอกสารคำสั่งที่ 33/2516 คำสั่งที่ พ.66/2524 และคำสั่งที่ พ.881/2526 ของธนาคารออมสิน เสนอต่อศาลเพื่อให้ศาลพิจารณาประกอบ โจทก์แถลงเห็นชอบด้วย…” วันที่ 31 ตุลาคม 2529 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 18 ได้ส่งสำเนาคำสั่งดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นศาลชั้นต้นให้โจทก์ตรวจแล้ว โจทก์แถลงรับรองว่า “สำเนาคำสั่งทั้ง 3 ฉบับนั้นถ่ายทอดมาจากคำสั่งที่แท้จริง และข้อความที่ปรากฏอยู่ในเอกสารทั้ง 3 ฉบับนั้นถูกต้อง” ศาลชั้นต้นจึงรับไว้หมายเป็นเอกสาร จ.ล.1 ถึง จ.ล.3 นอกจากนี้ยังปรากฏอีกด้วยว่า เอกสารหมายจ.ล.1 ถึง จ.ล.3 นั้นก็คือส่วนหนึ่งของเอกสารอีกหลายฉบับซึ่งผู้อำนวยการธนาคารออมสินส่งมายังศาลชั้นต้นตามหมายเรียกพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ (คดีอาญา) ที่ศาลชั้นต้นออกไปตามที่โจทก์มีคำร้องขอ และเมื่อโจทก์ตรวจดูแล้วก็ว่าใช่เอกสารที่อ้างเอกสารดังกล่าวจึงหาเป็นเอกสารที่จำเลยอ้างเป็นพยานดังที่โจทก์ฎีกาไม่”
พิพากษายืน

Share