แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
บทบัญญัติในมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 บัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองกรรมการลูกจ้างมิให้ถูกนายจ้างกลั่นแกล้งอันเป็นเหตุให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการลูกจ้าง โดยให้อำนาจศาลแรงงานพิจารณากลั่นกรองอีกชั้นหนึ่งว่ามีเหตุผลสมควรและเพียงพอที่จะเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างหรือไม่ กรณีของผู้คัดค้านที่ 1และที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างไม่ปรากฏว่ากระทำผิดใด ๆถึงขั้นเลิกจ้างคงมีเหตุแต่เพียงว่าสภาพการผลิตสินค้าของผู้ร้องลดลงเพราะเศรษฐกิจถดถอย ผู้ร้องต้องลดอัตรากำลังลูกจ้างเพื่อลดค่าใช้จ่าย โดยไม่ปรากฏว่ากิจการของผู้ร้องขาดทุนหรือต้องยุบหน่วยงาน การที่ผู้ร้องแก้ไขปัญหาด้วยการเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 เพราะเหตุที่วันละย้อนหลังไปในปี 2538 ถึง 2540 รวมกันเกิน 45 วันโดยไม่ปรากฏว่าการลาในรอบปีดังกล่าวของผู้คัดค้านที่ 1และที่ 3 ไม่ชอบต่อระเบียบข้อบังคับ ถือได้ว่าผู้ร้องยังไม่มีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1และที่ 3 ตามมาตราดังกล่าวได้
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษากับสำนวนคดีหมายเลขดำที่ 8532/2540 ของศาลแรงงานกลาง โดยเรียกผู้คัดค้านตามลำดับสำนวนว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ผู้คัดค้านที่ 2 และผู้คัดค้านที่ 3 แต่สำนวนคดีดังกล่าวซึ่งเป็นคดีระหว่างผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 2 ผู้ร้องขอถอนคำร้องแล้ว คงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีสองสำนวนนี้
ผู้ร้องทั้งสองสำนวนยื่นคำร้องว่า ผู้คัดค้านทั้งสองเป็นลูกจ้างของผู้ร้องและเป็นกรรมการลูกจ้าง ต่อมาผู้ร้องต้องการลดค่าใช้จ่าย จึงได้ตั้งคณะกรรมการคัดเลือกลูกจ้างที่มีสถิติการลาสูงเพื่อลดอัตรากำลังโดยเลิกจ้าง ผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้มีสถิติ การลาสูง ผู้ร้องมีความประสงค์จะเลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งสองจึงขออนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งสอง
ผู้คัดค้านทั้งสองสำนวนยื่นคำคัดค้านว่า คำสั่งคัดเลือกพนักงานที่มีสถิติ การลาสูงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อระเบียบการลาของผู้ร้อง เพราะผู้คัดค้านทั้งสองลากิจอย่างถูกต้องมาตลอดไม่ได้ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของผู้ร้อง ดังนั้นคำสั่งดังกล่าวของผู้ร้องจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ทั้งผู้ร้องดังกล่าวอ้างถึงเหตุภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันถดถอย ผู้ร้องตกอยู่ในภาวะคับขันจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายและลดอัตรากำลังคนอันเป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย เพราะไม่ระบุว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างไร กระทบต่อผู้ร้องลักษณะใด มีกำไรหรือขาดทุน เป็นคำร้องที่เคลือบคลุมขอให้ยกคำร้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า กรณีมีเหตุเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1และที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ได้
ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 3 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3อุทธรณ์ต่อมาว่า ผู้ร้องไม่มีเหตุเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3เพราะผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 เป็นกรรมการลูกจ้างไม่ได้กระทำผิดทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย และไม่ได้ฝ่าฝืนระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องทั้งไม่ได้ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวัน นอกจากนี้คำร้องของ ผู้ร้องที่อ้างเหตุภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันถดถอยเป็นเหตุให้ผู้ร้องตกอยู่ในภาวะคับขันก็เป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย เนื่องจากไม่ระบุว่าเศรษฐกิจถดถอยอย่างไร ผู้ร้องมีกำไรหรือขาดทุนที่จำเป็นต้องลดอัตรากำลังคน แต่กลับปรากฏว่าผู้ร้องยังดำเนินกิจการต่อไปได้ตามปกติไม่ขาดทุนหรือยุบหน่วยงานหรือปิดกิจการและเลิกจ้างลูกจ้างทั้งหมดซึ่งจะมีเหตุเลิกจ้างลูกจ้างที่เป็นกรรมการลูกจ้าง การแก้ปัญหาโดยขอเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างโดยอ้างเอาวันลาย้อนหลังไปอันเป็นโทษแก่ผู้คัดค้านทั้งสองย่อมไม่มีเหตุผลเพียงพอและสมควรตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ที่ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้เลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 จึงมิชอบ เห็นว่าข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางว่า ผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 เป็นลูกจ้างของผู้ร้องและเป็นกรรมการลูกจ้างด้วย ผู้ร้องขออนุญาตเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 โดยไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านทั้งสองกระทำผิดใด ๆ คำร้องของผู้ร้องอ้างเหตุขออนุญาตเลิกจ้างแต่เพียงว่าสภาพการผลิตของผู้ร้องลดลงเพราะเศรษฐกิจปัจจุบันถดถอย ผู้ร้องต้องลดอัตรากำลังลูกจ้างลงเพื่อลดค่าใช้จ่ายโดยไม่ปรากฏว่าผู้ร้องประสบภาวะขาดทุนหรือยุบหน่วยงาน และผู้ร้องได้คัดเลือกผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 เพื่อเลิกจ้างเพราะผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 มีวันลาย้อนหลังไปในปี 2538 ถึง 2540 รวมกันเกิน 45 วัน โดยไม่ปรากฏว่าในการลาในจำนวนวันดังกล่าวไม่ชอบด้วยระเบียบข้อบังคับอย่างไร เมื่อพิเคราะห์ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 52 ซึ่งบัญญัติว่า “ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้าง ลดค่าจ้าง ลงโทษขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการลูกจ้าง หรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นผลให้กรรมการลูกจ้างไม่สามารถทำงานอยู่ต่อไปได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน” เห็นได้ชัดว่า บทบัญญัตินี้บัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองกรรมการลูกจ้าง มิให้ถูกนายจ้างกลั่นแกล้งอันเป็นเหตุให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการลูกจ้าง โดยให้อำนาจศาลแรงงานพิจารณากลั่นกรองอีกชั้นหนึ่งว่ามีเหตุผลสมควรและเพียงพอที่จะเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างหรือไม่ กรณีของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 เมื่อไม่ปรากฏว่ากระทำผิดใด ๆ ถึงขั้นเลิกจ้าง คงมีเหตุแต่เพียงว่าสภาพการผลิตสินค้าของผู้ร้องลดลงเพราะเศรษฐกิจถดถอยผู้ร้องต้องลดอัตรากำลังลูกจ้างเพื่อลดค่าใช้จ่าย โดยไม่ปรากฏว่ากิจการของผู้ร้องขาดทุนหรือต้องยุบหน่วยงาน การที่ผู้ร้องแก้ไขปัญหาด้วยการเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างเพราะเหตุที่วันลาย้อนหลังไปในปี 2538 ถึง 2540 รวมกันเกิน 45 วันโดยไม่ปรากฏว่าการลาในรอบปีดังกล่าวของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3ไม่ชอบต่อระเบียบข้อบังคับ เช่นนี้ถือได้ว่าผู้ร้องยังไม่มีเหตุสมควรและเพียงพอที่จะเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 52 ได้ ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 จึงไม่ชอบ อุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 3 ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสองสำนวน