คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 451/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีก่อนจำเลยถูกพนักงานอัยการศาลแขวงเป็นโจทก์ฟ้องข้อหาบุกรุกทางสาธารณะ ศาลแขวงมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาด ให้ยกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า ที่พิพาทอยู่นอกเขตทางสาธารณะและเป็นที่ดินของจำเลย แต่โจทก์ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีก่อนด้วย ดังนั้นจะถือเอาคำเบิกความของพยานและข้อเท็จจริงที่ศาลแขวงวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย มารับฟังในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางสาธารณประโยชน์เป็นคดีนี้หาได้ไม่ การที่จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนบนทางสาธารณประโยชน์ปิดกั้นทางเข้าออกที่ดินโจทก์ แม้โจทก์จะมีทางเข้าออกทางอื่นได้แต่เมื่อได้ความว่าไม่สะดวก การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโจทก์เป็นที่ลุ่มโจทก์จึงถมดินในที่ซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ เพื่อความสะดวกในการที่โจทก์จะนำดินไปถมในที่ของโจทก์ ต่อมาจำเลยปลูกสร้างบนทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวเป็นการกีดขวางทางเข้าออกที่ดินโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ได้ตามปกติ เป็นการทำละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปให้พ้นทางสาธารณประโยชน์ โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 4,000 บาท
จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ไม่ใช่ทางสาธารณะจำเลยไม่ได้ทำให้โจทก์เสียหายหรือกีดขวางทางเข้าออกในที่ดินของโจทก์ โจทก์มีทางเข้าออกอยู่แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปให้พ้นที่พิพาทซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 3,000 บาท จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 1,500 บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ส่วนที่จำเลยถูกพนักงานอัยการศาลแขวงพิษณุโลกเป็นโจทก์ฟ้องข้อหาบุกรุกทางสาธารณะและศาลแขวงพิษณุโลกมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดให้ยกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยว่าที่พิพาทอยู่นอกเขตทางสาธารณะและเป็นที่ดินของจำเลยนั้น โจทก์ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวด้วย ดังนั้น จะถือเอาคำเบิกความของพยานและข้อเท็จจริงที่ศาลแขวงพิษณุโลกวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยมารับฟังในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้หาได้ไม่ศาลฎีกาเห็นว่าพยานโจทก์ดังที่ได้วินิจฉัยมาดังกล่าวมีน้ำหนักน่าเชื่อดีกว่าพยานจำเลย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นทางสาธารณะประโยชน์ไม่ใช่ที่ดินของจำเลยดังที่จำเลยกล่าวอ้าง
ส่วนปัญหาสุดท้ายตามฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยได้ทำละเมิดต่อโจทก์และโจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่เพียงใดนั้น เห็นว่าการที่จำเลยก่อสร้างโรงเรือนและนำสิ่งของไปวางในที่พิพาทเป็นการปิดกั้นทางเข้าออกที่ดินโจทก์ แม้โจทก์จะมีทางเข้าออกทางอื่นได้แต่ก็ได้ความว่าที่ดินของโจทก์มีระดับสูงกว่าทางถึง1 เมตร จึงเป็นการไม่สะดวกที่จะออกทางอื่น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สะดวกในการใช้ประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียง 1,500 บาท เห็นว่าเป็นการสมควรแล้ว”
พิพากษายืน

Share