คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5621/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีเกี่ยวกับรับของโจรนั้น โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่าจำเลยรับทรัพย์ไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิดมิใช่เพียงแต่คิดหรือเห็นว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์แล้วต้องให้จำเลยนำสืบแก้ตัวว่าไม่รู้ว่าเป็นของร้าย การที่เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 ได้ขณะเอาลูกกุญแจไปไขจะติดเครื่องขับรถจักรยานยนต์ของ ม. ซึ่งมีหน้าปัดวัดความเร็วอันเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ถูกลักไปติดอยู่ เพียงเท่านี้จะฟังว่าจำเลยที่ 1 ครอบครองจักรยานยนต์ของกลางโดยรู้แล้วว่ามีของผิดกฎหมายซึ่งเป็นทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิดหาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ได้มีคนร้ายหลายคนลักเอารถจักรยานยนต์ของนายมานพสมานฉันท์ ผู้เสียหาย ซึ่งเก็บรักษาไว้ภายในบ้านไปโดยทุจริตต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมด้วยหน้าปัดเครื่องวัดความเร็ว 1 ชุด ซึ่งเป็นส่วนประกอบชิ้นหนึ่งของรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่หายไป ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนีได้ร่วมกันลักเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปหรือไม่ก็รับหน้าปัดเครื่องวัดความเร็วดังกล่าวเอาไว้ โดยรู้อยู่ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335, 357 และขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคารถจักรยานยนต์เป็นเงิน 56,040 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 จำคุก 1 ปี ข้อหาลักทรัพย์ คดีสำหรับจำเลยที่ 2 และคำขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาฐานรับของโจรด้วย ให้คืนหน้าปัดของกลางแก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในข้อหาลักทรัพย์มีคนร้ายลักเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไป ต่อมาวันที่20 พฤศจิกายน 2531 เวลา 11 นาฬิกาเศษ นายมาโนช สมานฉันท์พี่ของผู้เสียหายกับสิบตำรวจเอกเฉลิมศักดิ์ สุขปรุง ได้ไปพบรถจักรยานยนต์ของกลาง มีหน้าปัดวัดความเร็วซึ่งเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปติดอยู่ ครั้นเวลา15 นาฬิกา จำเลยที่ 1 เข้าไปขี่และไขกุญแจรถดังกล่าว โดยมีจำเลยที่ 2 ขึ้นไปนั่งซ้อนท้าย เจ้าพนักงานตำรวจจึงเข้าไปจับจำเลยทั้งสองได้ ปรากฏว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นของนายมงคลในปัญหาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานรับของโจรหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีเกี่ยวกับความผิดฐานรับของโจรนั้น ข้อสำคัญโจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่าจำเลยรับทรัพย์ไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำผิดมิใช่เพียงแต่คิดหรือเห็นว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์แล้วต้องให้จำเลยต้องนำสืบแก้ตัวว่าตนไม่รู้ว่าเป็นของร้าย ดังนั้น แม้โจทก์นำสืบได้ความดังที่ฎีกามาก็ตาม เมื่อได้ความจากนายพันธ์ซึ่งเป็นพยานสำคัญของโจทก์ยืนยันว่า ได้ขายรถของกลางให้แก่นายมงคลไปโดยไม่มีหน้าปัดวัดความเร็วติดไปด้วย ทั้งโจทก์ก็ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันให้เห็นว่า ผู้ใดนำหน้าปัดวัดความเร็วซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรถผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปมาติดไว้กับรถของกลางอีกด้วย โจทก์จึงไม่มีพยานหลักฐานใดมาสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้รับหน้าปัดวัดความเร็วซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักเอาไปไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำผิด ดังนั้นจะอาศัยพยานแวดล้อมและพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 เข้าไปขี่และไขกุญแจเพื่อจะติดเครื่องรถจักรยานยนต์ของกลางซึ่งเป็นของผู้อื่นแล้วฟังว่า จำเลยที่ 1ครอบครองรถจักรยานยนต์ของกลางโดยรู้อยู่แล้วว่ารถคันดังกล่าวมีของผิดกฎหมายซึ่งเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดดังที่โจทก์ฎีกาหาได้ไม่ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1มีความผิดฐานรับของโจร ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share