คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 451/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยอ้างว่าโจทก์ก่อสร้างตึกแถวลงในบริเวณที่ดินโฉนดที่ 918 ของจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้รับอนุญาตขอให้โจทก์รื้อตึกแถวออกจากโฉนดที่ 918 ในที่สุดโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์ยอมรื้อตึกแถวพิพาทให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน ศาลพิพากษาตามยอม เมื่อครบกำหนดตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว โจทก์ยังไม่รื้อตึกแถวออกไป จำเลยที่ 1 ก็ขายที่ดิน พร้อมตึกแถวรายพิพาทให้จำเลยที่ 2 ไป โจทก์จึงฟ้องคดีนี้หาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 สมคบกันละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายทางพิจารณาปรากฏว่าก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้โจทก์ได้ตกลงยอมรับเงิน 20,000 บาทจากจำเลยที่ 1 เป็นค่าอิฐหักกากปูนแทนการรื้อถอนตึกพิพาท ดังนี้ตึกพิพาทย่อมตกเป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าว และตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ด้วย จำเลยที่ 1 จึงย่อมนำตึกพิพาทไปโอนขายให้จำเลยที่ 2 ได้ จำเลยทั้งสองหาได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ปลูกสร้างตึกแถว ๓ ชั้น เลขที่ ๕๗๒ ถึง ๕๗๙ รวม ๘ ห้องลงบนที่ดินโฉนดที่ ๙๑๘ โดยความยินยอมของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัด อ้างว่าโจทก์สร้างอาคารดังกล่าวโดยไม่ได้รับความยินยอม ขอให้รื้อถอนไปโจทก์ต่อสู้คดีแต่จำเลยที่ ๑ ได้หลอกลวงโจทก์ว่า ถ้าโจทก์ยินยอมรื้อตึก ๒ ห้อง เลขที่ ๕๗๘, ๕๗๙ ออกแล้ว จะทำให้ถนนซอยมีขนาดกว้าง ฯลฯ โจทก์หลงเชื่อจึงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ ๑ โดยยอมรื้อตึกพิพาทออกไปภายใน ๖๐ วัน ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ ๑ ขายให้แก่จำเลยที่ ๒ เปิดเป็นธนาคารนครหลวงไทย จำกัด สาขาสำโรง จำเลยที่ ๑ ว่าจะชดเชยค่าอิฐหักกากปูนให้โจทก์ ๒๐,๐๐๐ บาท โจทก์ไม่ยอมตกลง เพราะตึกเป็นของโจทก์การที่จำเลยที่ ๑ นำไปขายให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตึกนี้ดีจำเลยที่ ๒ จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์การที่จำเลยที่ ๑ ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ เข้าครอบครองตึกพิพาทจึงได้ชื่อว่าสมคบกันละเมิดสิทธิของโจทก์ ขอศาลบังคับให้จำเลยที่ ๒ ออกไปจากตึกพิพาทและให้จำเลยที่ ๑ มอบคืนแก่โจทก์ ถ้าไม่สามารถปฏิบัติได้ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย ๖๐๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ ฯลฯ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า เมื่อครบกำหนด ๖๐ วันตามที่ตกลง โจทก์ขอผัดผ่อนการรื้อถอนไปอีก แล้วโจทก์ได้เจรจากับผู้แทนของจำเลยที่ ๑ โดยจะขอรับค่าอิฐหักกากปูนและค่าวัสดุบางอย่างแทนการรื้อถอนตึกพิพาทเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ผลที่สุดตกลงกันโดยโจทก์ของรับค่าอิฐหักกากปูนและค่าวัสดุบางอย่างแทนการรื้อถอนจากจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของอาคารพิพาท อาคารพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๒ โดยได้ซื้อที่ดินพร้อมอาคารพิพาทจากจำเลยที่ ๑ และได้จดทะเบียนสิทธิไว้โดยสุจริต ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๙๑๘ และโฉนดที่ ๙๑๙ ซึ่งมีเขตติต่อกัน โจทก์ได้ทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อทำการก่อสร้างตึกแถวและตลาดสดลงบนที่ดินของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าว โจทก์ก่อสร้างตึกแถวตามสัญญา ซึ่งรวมทั้งตึกแถวรายพิพาท จำเลยที่ ๑ ได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยอ้างว่า โจทก์ก่อสร้างตึกแถวดังกล่าวลงในบริเวณที่ดินโฉนดที่ ๙๑๘ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ ๑ ขอให้โจทก์รื้อตึกแถว ๘ ห้องนั้นออกจากโฉนดที่ ๙๑๘ ในที่สุดโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์ยอมรื้อตึกแถวพิพาทให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน และศาลพิพากษาตามยอม เมื่อครบกำหนด ๖๐ วันตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์รื้อตึกแถวรายพิพาทไม่ได้ เพราะโจทก์ให้นายซ้ง แซ่เล้า เข้าอยู่ ต่อมานายซ้งยอมออกจากตึกแถวรายพิพาทแตตึกแถวรายพิพาทก็ยังไม่ได้รื้อ โจทก์กับฝ่ายจำเลยที่ ๑ ได้พูดเรื่องค่าอิฐหักกากปูนเกี่ยวกับตึกรายพิพาทกัน แล้วจำเลยที่ ๑ ได้ขายที่ดินพร้อมกับตึกแถวรายพิพาทให้จำเลยที่ ๒ โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้
ในปัญหาที่ว่าโจทก์ได้ยอมรับค่าอิฐหักกากปูนจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาทแทนการรื้อถอนจริงหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเชื่อว่า โจทก์ได้ตกลงยอมรับเงินค่าชดเชยตึกพิพาทนี้เป็นค่าอิฐหักกากปูนจากจำเลยที่ ๑ เฉพาะตึกพิพาท ๒ ห้องนี้แทนการรื้อถอนโดยโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องอะไรอีก
ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อโจทก์ได้ตกลงยอมรับเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทดังกล่าวเป็นค่าอิฐหักกากปูนแทนการรื้อถอนตึกพิพาท ๒ ห้องซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๑๘ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ จึงตกเป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ด้วย จำเลยที่ ๑ จึงย่อมนำตึกพิพาทไปโอนขายให้จำเลยที่ ๒ ได้ จำเลยทั้งสองหาได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ไม่ ประเด็นอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share