แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำพิพากษาศาลฎีกาคงวินิจฉัยเพียงว่า เมื่อทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแล้วโจทก์มีสิทธิใช้ทางดังกล่าวได้ โดยอำนาจของกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 หมายความว่า โจทก์มีสิทธิใช้ทางพิพาทได้แต่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของบทกฎหมายดังกล่าว รวมทั้งตามวรรคสามของมาตรา 1349 ที่บัญญัติว่า “ที่และวิธีทำทางผ่านนั้นต้องเลือกให้ พอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่าน กับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยสุดที่จะเป็นได้ ถ้าจำเป็น ผู้มีสิทธิจะผ่านจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้ด้วย”
ทางพิพาทเป็นถนนในหมู่บ้านจัดสรรของจำเลย กว้าง 6 เมตร พื้นถนนรับน้ำหนักได้สำหรับรถส่วนบุคคลหรือรถปิกอัพน้ำหนักไม่เกิน 10 ตัน น้ำหนักที่บรรทุก 10 ตัน ใช้ได้เฉพาะรถบรรทุกหกล้อ ไม่สามารถให้รถบรรทุกสิบล้อซึ่งจะบรรทุกน้ำหนักประมาณ 20 ตัน ขึ้นไปผ่านได้ หากให้รถบรรทุกสิบล้อผ่านจะเกิดความเสียหายแก่พื้นถนนและรั้วบริเวณที่รถผ่านจะแตกร้าวได้ ทั้งจะทำให้ประชาชนในหมู่บ้านจัดสรรของจำเลยถูกรบกวนการอยู่อาศัยตามปกติ จำเลยจึงสร้างคานเหล็กซึ่งมีความสูงจากพื้นผิวถนน 2.50 เมตร ปิดกั้นทางพิพาทมิให้รถบรรทุกขนาดใหญ่ผ่านเข้าออกในหมู่บ้านจัดสรรของจำเลย ซึ่งโจทก์สามารถใช้ทางพิพาทโดยไม่ให้เกิดความเสียหายหรือทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางพิพาทน้อยที่สุดได้ โดยใช้รถบรรทุกหกล้อบรรทุกดินผ่านเข้าออกทางพิพาทเพื่อให้เหมาะสมแก่ทางพิพาท ซึ่งรับน้ำหนักบรรทุกได้ไม่เกิน 10 ตัน ทั้งยังไม่เป็นการรบกวนการอยู่อาศัยโดยปกติของประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ทางพิพาทผ่านด้วย จึงยังไม่สมควรให้จำเลยเปิดเหล็กกั้นทางพิพาทอันเป็นทางจำเป็น
เมื่อศาลชั้นต้นมิได้สั่งให้บังคับคดีเป็นไปตามคำร้องของโจทก์แล้ว ก็ชอบที่จะสั่งยกคำร้องของโจทก์เสีย แต่ศาลชั้นต้นมิได้สั่ง ศาลฎีกาเห็นพ้องสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเปิดทางพิพาทบนที่ดินของจำเลยทั้งสามเพื่อเป็นทางจำเป็นออกสู่ทางสาธารณะแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งเก้า และให้โจทก์ทั้งเก้าชำระค่าทดแทนแก่จำเลยทั้งสาม ค่าฤชาธรรมเนียม ให้เป็นพับ ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน ต่อมาโจทก์ทั้งเก้าได้ชำระเงินตามคำพิพากษาแล้วและได้ขอออก คำบังคับแจ้งให้จำเลยทั้งสามปฏิบัติตามคำพิพากษา แต่จำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์ทั้งเก้าจึงยื่น คำขอออกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดพร้อมเพื่อสอบถามในวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๐ถึงวันนัด โจทก์ทั้งเก้าและจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ แถลงรับกันว่า มีแต่เพียงจำเลยที่ ๑ เท่านั้นที่ยังไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยเอาลวดหนามมา ปิดกั้นรั้วรวมทั้งเสาคอนกรีตขัดขวางไม่ให้ฝ่ายโจทก์ใช้ทางจำเป็น ทนายความของจำเลยที่ ๑ แถลงว่ายินดีที่จะให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามคำพิพากษา โดยคู่ความทุกฝ่ายจะไปดูสถานที่พิพาทแล้วจะมาแถลงต่อศาลนัดหน้า ศาลชั้นต้น จึงเลื่อนนัดพร้อมไปในวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ ถึงวันนัดทนายความของโจทก์ทั้งเก้าแถลงว่า ขณะนี้มีต้นไม้ขึ้น บนทางพิพาท ไม่สามารถตัดออกได้ เพราะมีผู้อ้างว่าได้ขออนุญาตฝ่ายจำเลยปลูก ทนายความของจำเลยที่ ๑ แถลงว่า ยินดีที่จะไปนำชี้บริเวณที่มีต้นไม้ขึ้น เพื่อให้ฝ่ายโจทก์ดำเนินการตัดและจะรับผิดชอบหากมีปัญหาเกิดขึ้น
วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๔๑ โจทก์ทั้งเก้ายื่นคำร้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ให้ลูกจ้างไปปักเสาเหล็ก สูงประมาณ ๓ เมตร และกั้นคานเหล็กขวางทางจำเป็นทำให้โจทก์ทั้งเก้าไม่สามารถนำรถบรรทุกเข้าไปดำเนินการปรับปรุงเทพื้นคอนกรีตทางจำเป็นได้ ขอให้ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อมเพื่อสอบถาม
ศาลชั้นต้นนัดพร้อมสอบถามคู่ความแล้วมีคำสั่งว่า ในชั้นนี้เห็นว่ายังไม่สมควรเปิดเหล็กกั้นจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะมีมาตรการในการบรรเทาความเสียหายให้ประชาชนในหมู่บ้าน
โจทก์ทั้งเก้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งเก้าฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งเก้าว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่ง ศาลชั้นต้นที่ยังไม่สมควรให้จำเลยที่ ๑ เปิดเหล็กกั้นทางพิพาทอันเป็นทางจำเป็นนั้น ชอบด้วยกฎหมายและถูกต้องตามคำพิพากษาศาลฎีกาหรือไม่ เห็นว่า ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๒๔/๒๕๓๙ คงวินิจฉัยเพียงว่า เมื่อทางพิพาทเป็น ทางจำเป็นแล้วโจทก์ทั้งเก้ามีสิทธิใช้ทางดังกล่าวได้โดยอำนาจของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๔๙ ซึ่งหมายความว่า โจทก์ทั้งเก้ามีสิทธิใช้ทางพิพาทได้แต่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของบทกฎหมายดังกล่าว เมื่อตามวรรคสามของมาตรา ๑๓๔๙ บัญญัติว่า “ที่และวิธีทำทางผ่านนั้นต้องเลือกให้พอสมควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่าน กับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยสุดที่จะเป็นไปได้ ถ้าจำเป็นผู้มีสิทธิจะผ่านจะสร้างถนนเป็นทางผ่านได้” ข้อเท็จจริงได้ความว่าทางพิพาทเป็นถนนในหมู่บ้านจัดสรรของจำเลยที่ ๑ กว้าง ๖ เมตร พื้นถนนเป็นพื้นคอนกรีตหนาประมาณ ๑๕ เซนติเมตร ชั้นล่างบดอัดธรรมดา รับน้ำหนักได้สำหรับรถส่วนบุคคลหรือรถปิกอัพ น้ำหนักไม่เกิน ๑๐ ตัน ใช้ได้เฉพาะรถบรรทุกหกล้อ ไม่สามารถให้รถบรรทุกสิบล้อซึ่งจะบรรทุกน้ำหนักประมาณ ๒๐ ตันขึ้นไปผ่านได้ หากให้รถบรรทุกสิบล้อผ่านจะเกิดความเสียหาย เช่น พื้นถนนแตกร้าว บริเวณบ้านจัดสรร โดยรอบและรั้วบริเวณที่รถผ่านจะแตกร้าวได้ จำเลยที่ ๑ จึงสร้างคานเหล็กซึ่งมีความสูงจากพื้นผิวถนน ๒.๕๐ เมตร ปิดกั้นทางพิพาทมิให้รถบรรทุกขนาดใหญ่ผ่านเข้าออกในหมู่บ้านจัดสรรของจำเลยที่ ๑ แต่โจทก์ทั้งเก้าก็ยืนยันว่า การเข้าไปถมดินจะต้องใช้รถบรรทุกสิบล้อผ่านทางพิพาทเท่านั้น หากไม่ใช้รถบรรทุกสิบล้อจะไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย ความเสียหายที่เกิดขึ้นโจทก์ทั้งเก้าจะรับผิชอบเอง แสดงให้เห็นว่า หากโจทก์ทั้งเก้าใช้รถบรรทุกสิบล้อผ่านเข้าออกทางพิพาทย่อมทำให้ทางพิพาทบริเวณบ้านจัดสรรและรั้วบ้านที่รถผ่านได้รับความเสียหายและประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจะถูกรบกวนการอยู่อาศัยโดยปกติจริง ซึ่งโจทก์ทั้งเก้าสามารถให้ทางพิพาทโดยไม่ให้เกิดความเสียหาย หรือทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางพิพาทน้อยที่สุดได้ โดยใช้รถบรรทุกดินผ่านเข้าออกทางพิพาทเพื่อให้เหมาะสม แก่ทางพิพาทซึ่งรับน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน ๑๐ ตัน ทั้งยังไม่เป็นการรบกวนการอยู่อาศัยโดยปกติของประชาชน ที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ทางพิพาทผ่านด้วย หากโจทก์ทั้งเก้ากระทำเช่นนี้ ต่างหากจึงชอบด้วยกฎหมายและถูกต้องตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยังไม่ควรให้จำเลยที่ ๑ เปิดเหล็กกั้นทางพิพาทอันเป็นทางจำเป็น จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่ที่ศาลชั้นต้นมิได้สั่งยกคำร้องของโจทก์ทั้งเก้านั้น ไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อศาลชั้นต้นมิได้สั่งให้บังคับคดีเป็นไปตามคำร้องของโจทก์ทั้งเก้าแล้ว ก็ชอบที่จะสั่งยกคำร้อง ของโจทก์ทั้งเก้าเสีย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ยกคำร้องของโจทก์ทั้งเก้า นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ