แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค12คดีนี้ว.ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1ได้ร่วมปรึกษาคดีและลงลายมือชื่อร่วมเป็นองค์คณะกับผู้พิพากษาศาลเดียวกันอีก2คนในต้นร่างคำพิพากษาแล้วแต่ลงลายมือชื่อในคำพิพากษาไม่ได้เพราะได้รับแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งที่ศาลอื่นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1ก็ได้บันทึกเหตุที่ลงลายมือชื่อไม่ได้และแจ้งว่าได้ลงลายมือชื่อในต้นร่างคำพิพากษาแล้วซึ่งแสดงว่าเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาอันเป็นการปฏิบัติครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา141วรรคสองประกอบมาตรา246แล้วคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1จึงชอบด้วยกฎหมายหาจำต้องให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค1ตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อร่วมเป็นองค์คณะในคำพิพากษาดังกล่าวด้วยไม่เพราะกรณีนี้อาจจำเป็นต้องกระทำเมื่อการพิจารณาพิพากษาไม่ครบองค์คณะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณ พ.ศ. 2519 โจทก์ยกที่ดิน 1 แปลงให้จำเลยโดยเสน่หา ซึ่งจำเลยนำไปออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 3747 ตำบลสังเม็ก (ปัจจุบันเป็นตำบลสวนกล้วย)อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ แล้วจดทะเบียนให้นางสาวนงลักษณ์ พันกิ่งทิพย์ เป็นเจ้าของรวมครึ่งหนึ่ง ต่อมาวันที่ 19 พฤษภาคม 2533 จำเลยได้หมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงโดยด่าโจทก์ต่อหน้าบุคคลอื่นว่า “กูจะให้มึงคืนทำไม มึงไม่มีดินสักงานหรอก จะไปตายที่ไหนก็ไป มึงจะโกงดินกูหรือ” ขอให้เพิกถอนการให้ที่ดินครึ่งหนึ่งในส่วนของจำเลยในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3747 ตำบลสังเม็กอำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ ระหว่างโจทก์กับจำเลยและให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวแก่โจทก์ครึ่งหนึ่งเพื่อเป็นเจ้าของรวมกับนางสาวนงลักษ์ พันกิ่งทิพย์ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับการยกให้ที่ดินพิพาทจากบุคคลอื่นมิใช่จากโจทก์ และจำเลยไม่เคยหมิ่นประมาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการให้ที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยครึ่งหนึ่งในส่วนของจำเลยในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3747 ตำบลสังเม็ก อำเภอกันทรลักษ์จังหวัดศรีสะเกษ และให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งเพื่อเป็นเจ้าของรวมกับนางสาวนงลักษ์พันกิ่นทิพย์ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องตามฎีกาโจทก์ในข้อกฎหมายที่ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า นายวุฒิ คราวุฒิ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้ร่วมปรึกษาคดีและลงลายมือชื่อร่วมกับผู้พิพากษาในศาลเดียวกันอีก2 คน ในต้นร่างคำพิพากษาแล้ว แต่ไม่ได้ลงลายมือชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ได้อ่านให้คู่ความฟัง เพียงแต่มีการจดบันทึกเหตุที่ไม่ได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญเท่านั้น อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้ตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อร่วมเป็นองค์คณะในคำพิพากษาด้วย จึงเป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 246 คำพิพากษาชั้นศาลอุทธรณ์นั้นต้องลงลายมือชื่อผู้พิพากษาที่พิพากษา แต่ถ้าผู้พิพากษาคนใดลงลายมือชื่อไม่ได้ ก็ให้ผู้พิพากษาอื่นที่พิพากษาคดีนั้น หรืออธิบดีผู้พิพากษาแล้วแต่กรณี จดแจ้งเหตุที่ผู้พิพากษาคนนั้นมิได้ลงลายมือชื่อ และมีความเห็นพ้องด้วยคำพิพากษานั้น แล้วกลัดไว้ในสำนวนความ กรณีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 คดีนี้นายวุฒิ คราวุฒิ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้ร่วมปรึกษาคดีและลงลายมือชื่อร่วมเป็นองค์คณะกับผู้พิพากษาศาลเดียวกันอีก 2 คน ในต้นร่างคำพิพากษาแล้ว แต่ลงลายมือชื่อในคำพิพากษาไม่ได้เพราะได้รับแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งที่ศาลอื่นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ก็ได้บันทึกเหตุที่ลงลายมือชื่อไม่ได้และแจ้งว่าได้ลงลายมือชื่อในต้นร่างคำพิพากษาแล้ว ซึ่งแสดงว่าเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาอันเป็นการปฏิบัติครบถ้วนตามบทกฎหมายข้างต้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว หาจำต้องให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อร่วมเป็นองค์คณะในคำพิพากษาดังกล่าวด้วยไม่ ซึ่งกรณีนี้อาจจำเป็นต้องกระทำเมื่อการพิจารณาไม่ครบองค์คณะ จึงไม่มีเหตุต้องให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาใหม่ตามที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใด
พิพากษายืน