แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์นำรถยนต์ของโจทก์เข้าร่วมกิจการขนส่งบรรทุกสินค้าอยู่กับบริษัท ป. จำกัด โดยได้รับค่าจ้างเป็นเที่ยว และโจทก์จะต้องรับผิดชอบความเสียหายที่จะถึงเกิดขึ้นแก่สินค้าที่บรรทุกทุกกรณีโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องผู้ที่กระทำละเมิดเกี่ยวกับรถยนต์ของโจทก์ที่บรรทุกสินค้าในนามของบริษัท ป. จำกัด ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถบรรทุกสิบล้อคันหมายเลขทะเบียน ๘๐-๓๙๒๑ นครสวรรค์ จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างผู้ขับรถบรรทุกสิบล้อคันหมายเลขทะเบียน ๘๐-๓๑๐๔ กำแพงเพชร ของจำเลยที่ ๒ ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ เป็นผู้รับประกันภัยรถของจำเลยที่ ๒ คันดังกล่าว เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ เวลาประมาณ ๓ นาฬิกา นายทวนลูกจ้างผู้ขับรถของโจทก์ขับขี่รถบรรทุกสินค้าของลูกค้าโจทก์จากกรุงเทพมหานครไปตามถนนสายเอเซีย มุ่งหน้าไปจังหวัดนครสวรรค์เมื่อถึงหลักกิโลเมตรที่ ๑๖๓-๑๖๔ หมู่ที่ ๑ ตำบลโพนางดำออก อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท จำเลยที่ ๑ ขับขี่รถของจำเลยที่ ๒ สวนทางมาจากนครสวรรค์มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพมหานครด้วยความประมาท โดยขับขี่รถด้วยความเร็วสูงแซงรถบรรทุกคันหมายเลขทะเบียน ๘๐-๑๖๒๐ พิจิตร เป็นเหตุให้รถของโจทก์ต้องหลบแล้วเสียหลักและถูกรถคัดที่จำเลยที่ ๑ ขับขี่พุ่งเข้าชนทำให้รถของโจทก์พลิกคว่ำกลางถนน การกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ ทำให้สินค้าที่โจทก์รับจ้างบรรทุกจากลูกค้าสูญหาย รวมราคาทั้งสิ้น ๙๖,๙๙๒ บาท โจทก์ได้ใช้ราคาสินค้าให้แก่เจ้าของสินค้าแล้ว โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิจากลูกค้า ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน ๙๖,๙๙๒ บาท แก่โจทก์ กับดอกเบี้ยก่อนฟ้องเป็นเงิน ๓,๐๓๑ บาท รวมเป็นเงิน ๑๐๐,๐๒๓ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๙๖,๙๙๒ บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถบรรทุกค้นหมายเลขทะเบียน ๘๐-๓๙๒๑ นครสวรรค์ รถคันดังกล่าวบรรทุกเฉพาะถังแก๊สอย่างเดียว เหตุที่รถชนกันมิใช่ความประมาทของจำเลยที่ ๑ แต่เกิดจากความประมาทหรือมีส่วนประมาทของพวกโจทก์ด้วยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๑ มิใช่ลูกจ้างขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ หากแต่ขับขี่รถไปในกิจการส่วนตัวของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ มิได้ครอบครองและใช้ประโยชน์ โจทก์มิได้เสียหายมากมายดังฟ้อง จำเลยที่ ๓ ได้รับประกันภัยค้ำจุนรถคันของจำเลยที่ ๒ ไว้ในวงเงินไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่ต้องเป็นกรณีที่จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดชอบ เมื่อจำเลยที่ ๒ มิใช่ผู้ครอบครองและใช้ประโยชน์ทั้งมิใช่นายจ้างของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชดใช้เงินให้แก่โจทก์จำนวน ๔,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยกำหนดค่าฤชาธรรมเนียมกับกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท แก่โจทก์
โจทก์และจำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน ๗๒,๖๓๒ บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดเป็นค่าทนายความ ๔,๕๐๐ บาท และค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสามใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดีคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกินมา ๑๐๐ บาท ให้แก่ไป
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยที่ ๓ ฎีกาในเรื่องอำนาจฟ้องว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับจ้างบรรทุกสินค้าไปส่งลูกค้าของโจทก์ที่จังหวัดนครสวรรค์ แต่ทางพิจารณากลับปรากฎว่าบริษัทปากน้ำโพ ป. สยามทรานสปอร์ต จำกัด เป็นผู้รับจ้างขนส่ง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง สำหรับประเด็นข้อนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้ให้นายทวนลูกจ้างของโจทก์ขับรถยนต์บรรทุกของโจทก์รับจ้างบรรทุกสินค้าของลูกจ้างโจทก์ดังปรากฎตามสำเนาใบกำกับสินค้าเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒ ซึ่งโจทก์ขอถือเอาเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องของโจทก์ด้วย ปรากฎตามสำเนาใบกำกับสินค้าดังกล่าวซึ่งระบุชื่อบริษัทปากน้ำโพ ป. สยามทรานสปอร์ต จำกัด ไว้ที่หัวกระดาษอย่างชัดแจ้ง และท้ายของใบกำกับสินค้าดังกล่าวมีข้อความระบุได้ด้วยว่าตามรายการสินค้าที่ระบุข้างบนนี้หากมีการสูญหายหรือเสียหายเกิดขึ้น ทางพนักงานขับรถหรือเจ้าของรถต้องรับผิดชอบจึงเข้าใจว่า โจทก์กับบริษัทดังกล่าวต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ซึ่งโจทก์ย่อมจะนำสืบรายละเอียดได้ในชั้นพิจารณา กรณีไม่พอถือว่าโจทก์นำสืบผิดแผกแตกต่างไปจากคำฟ้อง และในทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า โจทก์นำรถยนต์ของโจทก์เข้าร่วมกิจการกับบริษัท ปากน้ำโพ ป. สยามทรานสปอร์ต จำกัด โดยได้รับค่าจ้างเป็นเที่ยวและต้องรับผิดชอบความเสียหายที่จะถึงเกิดขึ้นทุกกรณี จำเลยที่ ๓ ไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงต้องฟังข้อเท็จจริงดังที่โจทก์นำสืบ ซึ่งไม่อาจฟังว่าบริษัท ปากน้ำโพ ป. สยามทรานสปอร์ต จำกัด เป็นผู้รับจ้างขนส่งแต่ผู้เดียว ดังที่จำเลยที่ ๓ ฎีกา เมื่อได้ความว่าโจทก์นำรถยนต์ของโจทก์เข้าร่วมกิจการอยู่กับบริษัทปากน้ำโพป. สยามทรานสปอร์ต จำกัด โดยได้รับค่าจ้างเป็นเที่ยว และโจทก์จะต้องรับผิดชอบความเสียหายที่จะพึงเกิดขึ้นทุกกรณี โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องผู้ที่กระทำละเมิดเกี่ยวกับรถยนต์ของโจทก์ที่บรรทุกสินค้าในนามของบริษัท ปากน้ำโพ ป. สยามทรานสปอร์ต จำกัด ได้ สำหรับฎีกาของจำเลยที่ ๓ ที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในเรื่องความเสียหายนั้น โจทก์มีนายประทวนหรือทวน ด่วนชะแอม ลูกจ้างขับรถยนต์คันที่เกิดเหตุของโจทก์เบิกความว่ารถของโจทก์บรรทุกสินค้าหลายรายการตามใบกำกับสินค้าเอกสารหมาย จ.๒ ซึ่งตามเอกสารดังกล่าวปรากฎว่ามีเครื่องรับโทรทัศน์สี ลูกอมฮอลล์ และแก๊ส สินค้าตามที่โจทก์ฟ้องอยู่ด้วย และร้อยตำรวจตรีพนม ขวัญอ่อน พนักงานสอบสวนก็เบิกความสนับสนุนว่า พยานได้รับแจ้งจากโจทก์ว่า รถของโจทก์บรรทุกถังแก๊ส เครื่องรับโทรทัศน์สี และของเบ็ดเตล็ดอีกหลายอย่างฝ่ายจำเลยที่ ๓ คงมีแต่จำเลยที่ ๑ เบิกความว่า รถของโจทก์บรรทุกถังแก๊สมาเต็มทั้งคัน ไม่ได้บรรทุกเครื่องรับโทรทัศน์สีมาด้วยเหตุที่รู้เพราะไม่ได้มีผ้าใบปิดไว้ที่กระบะรถ และนายวัลลภ เศวตคาม พนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุของจำเลยที่ ๓ เบิกความว่า พยานไปถึงที่เกิดเหตุเมื่อถังแก๊สของรถคู่กรณีได้ถูกขนถ่ายไว้ในรถบรรทุกอีกคันหนึ่งหมดแล้ว และเท่าที่พยานตรวจดูปรากฎว่าบรรทุกถังแก๊สอย่างเดียวทั้งหมด ไม่มีที่ว่างบรรจุสินค้าประเภทอื่นอีกเลยเพราะรถที่มาขนถ่ายก็เป็นรถขนาดเดียวกันคนที่เกิดเหตุซึ่งคำเบิกความของพยานจำเลยที่ ๓ ทั้งสองปากนี้เป็นไปในเชิงสันนิษฐานเท่านั้น พยานไม่ได้เห็นด้วยตนเองว่ารถของโจทก์ไม่ได้บรรทุกสินค้าตามฟ้อง พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมากกว่าน่าเชื่อว่ารถของโจทก์ได้บรรทุกสินค้าตามฟ้องจริง ได้ความจากคำเบิกความของ นายประทวน ว่า รถของโจทก์ถูกชนพลิกคว่ำอยู่ข้างทางคนขับรถที่ชนขับรถหลบหนีนายประทวนจึงทิ้งรถและสินค้าไว้ในรถย้อนกลับไปแจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานตำรวจทางหลวงแล้วเจ้าพนักงานตำรวจนำขึ้นรถติดตามจับกุมคนที่ขับรถบรรทุกสิบล้อ และโจทก์เบิกความว่าขณะโจทก์ไปถึงที่เกิดเหตุเห็นสินค้าตามเอกสารหมาย จ.๒ ตกไปอยู่ในน้ำข้างถนน คงมีแต่ถังแก๊สบางส่วนอยู่บนรถ และมีชาวบ้านอยู่ในสถานที่เกิดเหตุมากและนายประทวนเบิกความว่า ทรัพย์สินที่หายไปนี้สูญหายเนื่องจากมีชาวบ้านเข้ามาลักไปหลังจากรถคว่ำ เข้าใจว่าหายไประหว่างที่พยานเดินทางติดตามรถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับฝ่ายจำเลยที่ ๓ ไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงน่าเชื่อว่าเมื่อรถของโจทก์ถูกชนพลิกคว่ำแล้วสินค้าที่บรรทุกมาก็ตกหล่นจากรถคนร้ายถือโอกาสในขณะที่เป็นเวลากลางคืนและไม่มีคนอยู่เฝ้าลักเอาสินค้าดังที่โจทก์ระบุในฟ้องไป สำหรับราคาสินค้าที่สูญหายไปนั้น ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์และนายพันธศักดิ์ สายเสมา ลูกจ้างของบริษัทปากน้ำโพ ป. สยามทรานสปอร์ต จำกัด ว่า โจทก์ได้ซื้อเครื่องรับโทรทัศน์สียี่ห้อเนชั่นแนล ขนาด ๑๔ นิ้ว จำนวน ๖ เครื่อง จากร้านเสียงสวรรค์วิทยุ ในจังหวัดนครสวรรค์ เครื่องละ ๑๑,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๖๖,๐๐๐ บาท ตามบิลเงินสดเอกสารหมาย จ.๔ ซึ่งนายสมพล เฟื่องฟูวงษ์รัตน์ เจ้าของร้านก็มาเบิกความรับรองเครื่องรับโทรทัศน์สี ๖ เครื่อง โจทก์นำไปชดใช้ให้ร้านไขแสง และร้านเสียงทองวิทยุ ร้านละ ๓ เครื่อง โจทก์ซื้อลูกอมฮอลล์ ๒๒ ถังจากร้านนครสวรรค์ ณะรงค์ภัณฑ์ ในจังหวัดนครสวรรค์ ลังละ ๑,๐๑๖ บาทรวมเป็นเงิน ๒๒,๓๕๒ บาท นำไปชดใช้ให้แก่ร้านสวัสดิ์ฟาร์มาซีร้านโอลัน ร้านวิบูลย์เภสัช และ ร้านนานาภัณฑ์ ส่วนแก๊สนั้นโจทก์ว่า หาซื้อถังแก๊สไม่ได้ โจทก์จึงชำระให้เป็นเงินโดยชำระให้แก่ร้านกัลปพฤกษ์ ฝ่ายจำเลยที่ ๓ ไม่ได้นำสืบคัดค้าน จึงน่าเชื่อว่าโจทก์ได้ซื้อสินค้าและใช้เงินให้แก่ร้านค้าไปดังที่โจทก์ฟ้องจริงฎีกาของจำเลยที่ ๓ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน โจทก์มิได้แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความให้”