แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เช่าเป็นตำรวจรถไฟ ได้เช่าห้องพิพาทเพื่ออยู่อาศัยในเขตเทศบาลเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมา ผู้เช่าถูกทางราชการสั่งย้ายให้มารับราชการจังหวัดพระนคร โดยไปพักอยู่ที่กองรักษาการณ์รถไฟ จำเลยเป็นภริยาผู้เช่า ไปเรียนวิชาการช่างที่จังหวัดพระนครและไปอยู่หอพัก ทั้ง 2 คนไปแต่ตัวมิได้ขนสิ่งของเครื่องใช้สำหรับครอบครัว มิได้อพยพเอาบุตรและแม่ยายของผู้เช่าตามไปด้วย ที่อยู่ของผู้เช่าและจำเลยในจังหวัดพระนครยังมิได้เป็นหลักแหล่ง โดยเฉพาะที่จำเลยไปเรียนการช่างก็เป็นไปชั่วคราวแล้วจะกลับมาประกอบอาชีพทางจังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนฟ้องคดีนี้จำเลยก็ได้กลับมาอยู่ในห้องพิพาทแล้ว แม้พลตำรวจเกษมย้ายขาดจากตำรวจจังหวัดนครศรีธรรมราชไปประจำกองตำรวจรถไฟ แต่ก็ไม่ปรากฏชัดว่าต้องไปประจำที่จังหวัดพระนครเป็นเด็ดขาดหรือจะต้องควบคุมขบวนรถไฟไปๆ มาๆ ทางไหนบ้าง ในสำมะโนครัวมีชื่อผู้เช่าจำเลยและบุตรอยู่ในห้องพิพาท ผู้เช่ายังคงใช้สิทธิเป็นผู้เช่า โดยให้จำเลยกับบุตรและแม่ยายอยู่ในฐานะบริวาร การเช่ายังไม่ระงับ โจทก์ยังไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นบริวารของผู้เช่า (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 32/2503 และ ครั้งที่ 35/2503)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า พลตำรวจเกษมได้เช่าห้องพิพาทของโจทก์ซึ่งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองนครศรีธรรมราชเพื่ออยู่อาศัย จำเลยเป็นบริวารของพลตำรวจเกษม ได้อยู่อาศัยในห้องพิพาทด้วย ต่อมาพลตำรวจเกษมได้ย้ายไปรับราชการจังหวัดพระนคร แต่จำเลยไม่ยอมออกจากห้องพิพาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยเป็นบริวารของพลตำรวจเกษม เช่าห้องพิพาทเพื่ออยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯโจทก์ไม่เคยบอกเลิกการเช่าและไม่เคยค้างชำระค่าเช่า
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า พลตำรวจเกษมถูกย้ายไปประจำจังหวัดพระนคร ขาดจากตำแหน่งทางจังหวัดนครศรีธรรมราช หมดความจำเป็นที่จะอยู่อาศัยต่อไปแล้ว จำเลยจะยกข้อต่อสู้ว่าพลตำรวจเกษมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ มาใช้ยันโจทก์หาได้ไม่ส่วนจำเลยจะอยู่ในฐานะบริวารของพลตำรวจเกษม ไม่ใช่คู่สัญญากับโจทก์ การที่จำเลยอาศัยอยู่ต่อมาก็ไม่ใช่เรื่องที่โจทก์รับรองฐานะว่าจำเลยเป็นผู้เช่าคนใหม่ พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากห้องพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พลตำรวจเกษมเช่าห้องพิพาทเป็นที่อยู่อาศัยอยู่ได้ 5 ปี ก็ถูกย้ายมารับราชการในจังหวัดพระนคร แต่พลตำรวจเกษมก็ยังคงเช่าห้องพิพาทต่อมา โดยมีจำเลยซึ่งเป็นภริยาพลตำรวจเกษมนางผึ้งแม่จำเลยและนายภิญโญเป็นผู้อยู่ในห้องพิพาท ได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์ตลอดมาจนกระทั่งโจทก์ฟ้องพลตำรวจเกษมก็ยังเช่าห้องพิพาทอยู่ การเช่ามิได้เลิก โจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นภริยาและอาศัยสิทธิของพลตำรวจเกษมหาได้ไม่ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาว่า พลตำรวจเกษมขาดจากการเช่าห้องของโจทก์แล้ว
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่พลตำรวจเกษมย้ายไปรับราชการที่จังหวัดพระนคร โดยไปพักอยู่ที่กองรักษาการณ์รถไฟก็ดีการที่จำเลยซึ่งเป็นภริยาพลตำรวจเกษมไปเรียนวิชาการช่างที่จังหวัดพระนครและไปอยู่ที่หอพักก็ดี ทั้ง 2 คนไปแต่ตัว มิได้ขนสิ่งของเครื่องใช้สำหรับครอบครัว มิได้อพยพเอานางผึ้งแม่ยายพลตำรวจเกษมและบุตรตามไปด้วย ที่อยู่ของพลตำรวจเกษมและจำเลยในจังหวัดพระนครยังมิได้เป็นหลักแหล่งโดยเฉพาะที่จำเลยไปเรียนการช่างก็เป็นการไปชั่วคราวแล้วจะกลับมาประกอบอาชีพทางจังหวัดนครศรีธรรมราชก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยก็ได้กลับมาอยู่ในห้องพิพาทแล้ว แม้พลตำรวจเกษมย้ายขาดจากตำรวจจังหวัดนครศรีธรรมราชไปประจำกองตำรวจรถไฟ แต่ก็ไม่ปรากฏชัดในท้องสำนวนว่าต้องไปประจำที่จังหวัดพระนครเป็นเด็ดขาดหรือจะต้องควบคุมขบวนรถไฟไป ๆ มา ๆ ทางไหนบ้าง บัญชีสำมะโนครัวของพลตำรวจเกษมและจำเลยกับบุตรยังคงมีว่าอยู่ในห้องพิพาทส่วนการที่นายภิญโญถูกฟ้องและนางผึ้งยอมออก ก็เป็นเรื่องของนายภิญโญและนางผึ้ง ไม่มีผลผูกพันพลตำรวจเกษมหรือจำเลยแต่อย่างใด พลตำรวจเกษมยังคงใช้สิทธิเป็นผู้เช่าโดยให้จำเลยกับบุตรและนางผึ้งอยู่ในฐานะบริวาร การเช่ายังไม่ระงับ โจทก์ยังไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นบริวารของพลตำรวจเกษม พิพากษายืน